สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค เดินทางด้วยรถยนต์เอสยูวีสีดำ มายังเรือนจำกลาจัง ในรัฐสลังงอร์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อรับโทษจำคุก 12 ปี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ให้ยืนบทลงโทษจำคุกอดีตผู้นำมาเลเซีย วัย 69 ปี เป็นเวลา 12 ปี โดยไม่รอลงอาญา และชำระค่าเสียหายคืนแก่แผ่นดิน 210 ล้านริงกิต (ราว 1,693.01 ล้านบาท)


ทั้งนี้ ศาลสูงสุดของมาเลเซียมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่านาจิบมีความผิดจริงตามคำฟ้องทั้ง 7 กระทง ซึ่งรวมถึง การละเมิดอำนาจ ฟอกเงิน และใช้อำนาจในทางมิชอบ ยักยอกเงิน 42 ล้านริงกิต (ราว 338.60 ล้านบาท) จากเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของกองทุนพัฒนาแห่งชาติ (วันเอ็มดีบี) เข้าสู่บัญชีส่วนตัว ระหว่างจัดการกองทุนเมื่อช่วงปี 2554 ถึง 2558


ขณะที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านของมาเลเซีย กล่าวถึงคำพิพากษาของศาล ว่าสะท้อนพลังของประชาชน ซึ่งร่วมกันปกป้องความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม ในการปราบปรามการคอร์รัปชั่น และการไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมือง

นายนาจิบ ราซัค โบกมือทักทายกลุ่มผู้สนับสนุน ระหว่างเดินทางมายังศาลฎีกา ในเมืองปุตราจายา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา


ด้านนายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ ผู้นำมาเลเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ (อัมโน) ปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ ต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาที่มีต่อนาจิบ โดยกล่าวว่า ทุกฝ่ายสามารถแสดงทรรศนะได้อย่างอิสระภายในกรอบของกฎหมาย แต่ส่วนตัวเขาขอมุ่งเน้นไปที่การบริหารประเทศ


อนึ่ง นาจิบ วัย 69 ปี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ซึ่งต้องเข้าสู่เรือนจำจากความผิดฐานคอร์รัปชั่น โดยคดีของเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นคดีแรกจาก “อีกหลายสิบคดี” ของวันเอ็มดีบี ที่นาจิบเป็นผู้ก่อตั้ง สมัยยังดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล อย่างไรก็ตาม อัยการสูงสุดของมาเลเซีย กล่าวหาอดีตผู้นำประเทศยักยอกเงินออกจากกองทุนนี้เสียเอง มากกว่า 18,000 ล้านริงกิต (ราว 144,848.40 ล้านบาท)


นอกจากนี้ มีการวิเคราะห์ด้วยว่า คำตัดสินของศาลฎีกา จะมีผลต่อทิศทางการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซีย ที่ตามกำหนดต้องเกิดขึ้นก่อนวันที่ 14 ก.ย. ปีหน้า เนื่องจากนาจิบ “ยังคงมีบทบาทอย่างมาก” ในฐานะแกนนำคนสำคัญของพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลขนาดใหญ่ที่สุดของมาเลเซียตอนนี้.

เครดิตภาพ : REUTERS