สำนักงาน ป.ป.ช. นำโดย นายฉัตรชัย วีระเชวงกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดน่าน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. ลงพื้นที่ร่วมกับ นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้โครงการต้านและลดทุจริตด้วยกลไกสหยุทธ์ เฉพาะกรณีพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (STRONG : Together against Corruption – TaC) ในประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริต กรณีการล่วงล้ำลำน้ำปัวและการบุกรุกป่า พื้นที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน
ประเด็นความเสี่ยงดังกล่าวมีที่มาจากข้อมูลการปักหมุดของเครือข่ายภาคประชาชน ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต ว่าในพื้นที่อำเภอปัว บริเวณลำน้ำปัว ตำบลเจดีย์ชัย มีผู้ประกอบการรีสอร์ทและร้านกาแฟ สร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรล่วงล้ำลำน้ำปัว นำหินกรวดมาสร้างชายหาดบริเวณริมตลิ่ง มีการปิดกั้นลำน้ำและทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนในพื้นที่บริเวณวังน้ำปัว ตำบลสถาน มีการปลูกสร้างที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สิ่งปลูกสร้างจำนวนหนึ่งล่วงล้ำลงไปในลำน้ำปัว อีกทั้งยังบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยภูคาและป่าผาแดง

จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นและการลงพื้นที่ TaC Team พบว่า
1. พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตจุดแรก บริเวณลำน้ำปัว ตำบลเจดีย์ชัย เป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ซึ่งเอกชนประกอบกิจการรีสอร์ทและร้านกาแฟ มีการสร้างลานคอนกรีตให้ผู้มาใช้บริการลงไปนั่งเล่นและพักผ่อนติดกับลำน้ำปัว ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการร้องเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบแนวเขตที่ดินแล้วยืนยันว่า สิ่งก่อสร้างดังกล่าวถึงแม้จะอยู่ในลำน้ำแต่ยังอยู่ในแนวเขตโฉนดที่ดิน จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการจัดทำหลักหมุดแสดงแนวเขตที่ดินให้ชัดเจน
ส่วนชายหาดหินกรวดบริเวณริมตลิ่งหน้าที่ดินแปลงดังกล่าว จากการตรวจสอบพบว่ามีพื้นที่ชายหาดบางส่วนอยู่นอกแนวเขตที่ดินและล่วงล้ำลงไปในลำน้ำ อีกทั้งยังมีข้อเท็จจริงเป็นภาพปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์ว่า ผู้ประกอบการเคยมีการนำรถบรรทุกหินกรวดมาปรับพื้นที่ริมตลิ่งก่อนเปิดให้บริการ สำหรับแนวหินกรวดในลำน้ำที่กั้นขวางลำน้ำปัว พบว่ามีลักษณะเหมือนฝายชะลอน้ำที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพิ่มเติมให้ชัดเจนอีกครั้งในช่วงน้ำลด
ทั้งนี้ กรณีผู้ประกอบการเคยมีการสร้างแนวรั้วและเนินดินปิดทางสาธารณะที่ขนานไปตามแนวโฉนดที่ดินทั้งสองด้าน ปิดกั้นเส้นทางที่ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันเป็นประจำเพื่อใช้เป็นเส้นทางเข้าถึงลำน้ำปัวและข้ามไปยังพื้นที่ฝั่งตรงข้าม ผลจากการลงพื้นที่ TaC Team ผู้ประกอบการได้มีการปรับพื้นที่ทลายเนินดินบางส่วน และรื้อแนวรั้วคืนทางสาธารณะตามแนวโฉนดที่ดินด้านหนึ่งแล้ว คงเหลืออีกหนึ่งด้านที่ยังปิดไว้

2. พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตจุดที่สอง บริเวณวังน้ำปัว ตำบลสถาน เป็นพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยภูคาและป่าผาแดง จัดเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 3 4 5 มีพื้นที่บางส่วนอยู่ในกรอบการสำรวจเพื่อจัดที่ดินให้ราษฎรตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ที่ผ่านมาวังน้ำปัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่นิยมและมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก จึงมีการเปลี่ยนสภาพการทำประโยชน์ในพื้นที่จากเป็นที่อยู่อาศัยและการเกษตร ไปเป็นการสร้างที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟ ทั้งลักษณะชั่วคราวและถาวร โดยในฤดูท่องเที่ยวมีการนำแคร่ไม้ไผ่นั่งทานอาหารวางตลอดแนวลำน้ำเพื่อบริการนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ การลงพื้นที่ TaC Team พบผู้ประกอบการบริเวณวังน้ำปัวอยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานที่เพื่อเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวซึ่งจะเริ่มเข้ามาในช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นไป โดยหลายรายมีการทำแนวรั้วกั้นแบ่งเขตระหว่างร้านค้า ส่งผลเป็นการปิดกั้นเส้นทางตรวจการณ์ของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ รวมทั้งพบผู้ประกอบการดำเนินการก่อสร้างบ้านพักถาวรโดยไม่ได้แจ้งขออนุญาตต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่

นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานการประชุมกำหนดข้อตกลงร่วมกับ นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 5 และนายฉัตรชัย วีระเชวงกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดน่าน เพื่อแก้ไขปัญหาความเสี่ยงต่อการทุจริตการล่วงล้ำลำน้ำและบุกรุกป่าในพื้นที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นายมงคล ศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ป.ป.ช. นายวิรัตน์ สาคเรศ ผู้อำนวยการส่วนสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้แทนหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำและที่ดินของรัฐ อาทิ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาแพร่ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 13 (แพร่) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน สำนักงานที่ดินจังหวัดน่าน อำเภอปัว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ตลอดจนสมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดน่าน

ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาและกำหนดข้อตกลงร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ประเด็นการล่วงล้ำลำน้ำและบุกรุกป่า โดยเห็นควรให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมและรายงานผลการตรวจสอบต่อผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ภายใน 60 วัน และแจ้งสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดน่าน เพื่อทราบ ในประเด็นดังต่อไปนี้
จุดที่ 1 สถานประกอบการรีสอร์ทและร้านกาแฟ บริเวณลำน้ำปัว ตำบลเจดีย์ชัย ให้ดำเนินการใน 3 ประเด็น ได้แก่
1) ให้สำนักงานที่ดินจังหวัดน่าน สาขาปัว ตรวจสอบโฉนดที่ดิน จำนวน 3 แปลงของผู้ประกอบการ ในประเด็นความถูกต้องของการออกเอกสารสิทธิ์และแนวเขตของที่ดิน
2) ให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาแพร่ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบประเด็นการล่วงล้ำลำน้ำของหาดหินกรวดบริเวณริมตลิ่ง และแนวหินกรวดในลำน้ำที่กั้นขวางลำน้ำปัว หากพบว่าเป็นสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่สร้างขึ้นโดยผู้ประกอบการให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทันที
3) กรณีการปิดกั้นทางสาธารณะซึ่งเจ้าของที่ดินได้ดำเนินการแก้ไขเปิดทางด้านหนึ่งแล้ว ที่ประชุมเห็นว่าเป็นการเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชนในพื้นที่เพื่อสามารถเข้าถึงลำน้ำปัวได้โดยสะดวกแล้ว ทั้งนี้ ให้อำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งผู้ประกอบการให้ทราบอย่างชัดเจนว่าจะต้องไม่ดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นการปิดกั้นทางสาธารณะดังกล่าวอีกในอนาคต

จุดที่ 2 บริเวณวังน้ำปัว ตำบลสถาน ให้ดำเนินการใน 3 ประเด็น ได้แก่
1) ให้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นน.6 (ปัว) ศูนย์ป่าไม้น่าน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ แจ้งผู้ประกอบการที่สร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรเพื่อการท่องเที่ยวในลักษณะที่พัก ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยภูคาและป่าผาแดง ให้ชะลอการก่อสร้าง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าอนุญาตก่อสร้างได้หรือไม่ หากไม่สามารถอนุญาตได้ ให้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตที่ดินและรายชื่อราษฎรที่ได้รับสิทธิ์เข้าทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าตาม คทช. ให้ชัดเจนว่าเป็นผู้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้องและต้องไม่เป็นกรณีการสวมสิทธิ์ของผู้ประกอบการจากภายนอก
2) ให้หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นน.6 (ปัว) ศูนย์ป่าไม้น่าน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของราษฎรให้ตรงตามสภาพความเป็นจริง รวมทั้งจัดทำข้อมูลทะเบียนรายชื่อ ทะเบียนสิ่งปลูกสร้างทุกรายการให้ชัดเจน เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการบุกรุกป่าเพิ่มมากขึ้นไปจากแนวเขตที่ได้รับอนุญาต
3) สำหรับการพิจารณากิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่สามารถดำเนินการในพื้นที่ ตลอดจนการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ และการอนุญาตชั่วคราวในฤดูท่องเที่ยวให้นำมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่หมู่บ้านสะปัน และหมู่บ้านสกาด มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับในพื้นที่วังน้ำปัวต่อไป

ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. จะรายงานผลการจัดทำข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการต้านและลดทุจริตด้วยกลไกสหยุทธ์ฯ ในพื้นที่ภาค 5 (จังหวัดน่าน) เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดน่านและเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช โดยในส่วนของการกำกับ ติดตาม และดำเนินการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงต่อการทุจริตประเด็นการล่วงล้ำลำน้ำและการบุกรุกป่าในพื้นที่จังหวัดน่าน จะมีการขับเคลื่อนการดำเนินการต่อเนื่องผ่านกลไกของคณะอนุกรรมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตจังหวัดน่าน เพื่อนำไปสู่การถอนหมุดประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตดังกล่าวให้แล้วเสร็จ