เมื่อวันที่ 6 ก.ย. เพจเฟซบุ๊ก Punya Hansivathip ได้โพสต์เตือนภัยให้พ่อ แม่ทุกคนเป็นอุทาหรณ์ เกี่ยวกับการพาลูกๆไปเที่ยวสวนสนุก โดยระบุว่า ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรนอกจากเตือนภัยให้พ่อแม่ทุกคนใช้เป็นอุทาหรณ์ค่ะ

ครอบครัวเราพาลูกไปเล่นสวนสนุกในร่มที่เค้าเคลมตัวเองว่า เป็นสนามเด็กเล่นในร่มมาตรฐานระดับโลกในวันหยุดสุดสัปดาห์ ย่านบางนาใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน พ่อเป็นคนเข้าไปเล่นกับลูกดูแลลูก ค่าบัตรสำหรับเข้าไปเล่นในเวลาสองชั่วโมงไม่ใช่น้อย

กฎคือผู้ปกครองต้องเข้าไปดูแลบุตรหลาน ต้องใส่ถุงเท้าเพื่อความปลอดภัยและดูแลความสะอาด เราทำตามกฎทุกอย่าง สามีเราวิ่งตามดูแลลูกสาวสองคนด้วยความห่วงใย ขณะนั้นเราเดินดูเฟอร์นิเจอร์อยู่ในโซนเฟอร์นิเจอร์ สักพักเราได้รับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก คนโทรฯมาคือลูกสาวเราที่ขอยืมโทรศัพท์จากผู้ปกครองท่านอื่น ลูกโทรฯมาบอกว่าป๊าเดินชนของเล่นล้มลุกไม่ขึ้น เรารีบวิ่งเข้าไปดูขณะนั้นพนักงานของสวนสนุกกำลังเรียกให้ fireman มายกสามีเราออกจากจุดเกิดเหตุ แต่เรามองแล้วการหิ้วปีกสามีเราลงมาทั้งที่เกิดอาการขยับตัวไม่ได้ มันเสี่ยงและอันตรายเกินไป เราจึงขอให้ทางสวนสนุกเรียกรถพยาบาล

โชคดีที่ผู้ปกครองในนั้นเป็นแพทย์ซึ่งมาคอยเฝ้าดูอาการ รถพยาบาลมาถึงใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เมื่อถึง รพ. สามีเราถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินทันทีเพราะมีอาการช็อก ตัวสั่นเมื่อทำ MRI พบว่า กระดูกทับเส้นประสาท 2 ข้อ ที่เดียวกับการควบคุมการทำงานของแขนขาและการเต้นของหัวใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ มีพนักงานของสวนสนุกตามมาที่โรงพยาบาล 1 คน และหลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่การรักษาเกือบสองเดือน ทางสวนสนุกไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ สามีเราต้องผ่าตัดถึง 2 รอบ ภายในเวลา 2 สัปดาห์

หลายคนคงคิดว่าเล่นผาดโผนขนาดไหนถึงอาการหนักขนาดนี้ เราบอกเลยว่ามันไม่ควรเกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้เลยค่ะ สามีเราไม่ได้ผาดโผน แต่เรื่องจากอุปกรณ์การเล่นออกแบบมาให้เกิดอันตราย ไม่ใช่กับผู้ใหญ่ที่ตัวสูง 176 นะคะ แม้แต่เด็กๆ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นเดียวกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที พ่อลูกที่ยังเล่นกันด้วยเสียงหัวเราะกลายเป็นวันที่บ้านเรามีแต่เสียงร้องไห้ทุกวัน

ในสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ เราพยายามทุกทางที่จะรักษาสามีให้เค้ากลับมาเดินได้ ลุกนั่งได้ด้วยตัวเอง หมดค่ารักษาและหมดจนเรียกได้ว่าหมดจริงๆ ค่ารักษาเฉพาะที่รักษาที่ รพ. รวมกัน 2.8 ล้านบาทแล้ว

เรายังโชคดีที่ทำประกันสุขภาพและอุบัติเหตุไว้ มีวงเงิน 2 ล้านบาท ออกเพิ่มเอง 8 แสน (ลองคิดว่าถ้าเราไม่ได้ทำประกันไว้ ตอนนี้เราจะเป็นยังไง

กลับบ้านแล้ว เรายังต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งการกายภาพอีกไม่รู้นานเท่าไหร่ กว่าสามีเราจะกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องคิดว่าจะกลับมาได้ 100% นะค่ะ การจ้างพยาบาลมาดูแล เพราะเค้ายังถ่ายเองไม่ได้ ต้องใช้การสวนและต้องสะอาดมากที่สุด เพราะกลัวติดเชื้อ ทุกอย่างคือค่าใช้จ่ายที่หนักมากค่ะ แต่เราก็พยายามสุดความสามารถเพื่อให้เค้ากลับมาให้เร็วที่สุด

สวนสนุกในร่มที่บอกว่ามีมาตรฐานระดับโลก ไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งที่สถานที่ของคุณไม่ปลอดภัยเพียงพอ จุดอันตรายตรงนั้นคุณบอกว่าปกติจะมีพนักงานคอยยืนเตือน แต่วันนั้นไม่มี คุณบอกว่าจุดนี้มีคนชนบ่อย แต่คุณไม่แก้ไขและยังประมาทเลินเล่อ

ปกติคุณต้องทำประกันไว้ แต่ทางประกันบอกว่า ไม่สามารถจ่ายให้ได้เนื่องจาก กรณีนี้ไม่เข้าข่าย ประกันเลยจ่ายไม่ได้ (ไม่เข้าใจว่า การที่ลูกค้ามาใช้บริการ สถานที่ของคุณ และมีการบาดเจ็บสาหัสในสถานที่ของคุณ คุณและประกันแจ้งว่าไม่เข้าข่าย )

เสี้ยววินาทีเดียวที่ครอบครัวเราเหมือนกอดคอกันตกจากตึกสูง ชีวิตเราเปลี่ยนไปหมด ลูกๆร้องไห้ทุกวัน เราแอบร้องไห้ทุกคืนไม่ให้ใครเห็น พยายามหาทางรักษาให้สามีกลับมาเหมือนเดิม ตัวสามีเองสภาพจิตใจก็ย่ำแย่ กลัวตัวเองจะเดินไม่ได้

เหตุการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิด ยิ่งครอบครัวเรายิ่งไม่อยากให้เกิด ถ้าเลือกได้เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ 2 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวเราทั้งเหนื่อย ทั้งท้อแท้ ทั้งสิ้นหวัง แต่ความหวังก็คือจะทำยังไงให้สามีกลับมาเป็นปกติให้ได้มากที่สุด

ถ้าลูกเราทำของเล่นคุณเสียหาย คุณเรียกร้องค่าเสียหายทันทีมิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่เมื่ออุปกรณ์ของสวนสนุกคุณทำความเสียหายต่อชีวิตและจิตใจพวกเราขนาดนี้ คุณกลับประวิงเวลา และหิ้วกระเช้ามาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้น 2 เดือนกว่าแล้ว และเสนอการเยียวยาโดยแจ้งว่า เห็นแก่ความสัมพันธ์ของลูกค้า กับ บริษัท เลยจะจ่าย 10% ของค่ารักษาที่เกินจากประกันส่วนตัวเราจ่าย นั่นคือ เราจ่ายส่วนต่างที่ 8 แสน 10% คือ 80,000 บาท เราถามหน่อยว่า มันสมเหตุสมผลกันไหม กับความเสียหายที่เกิดขึ้น