คาเรน สทิตต์ สาวน้อยอายุ 15 ปี เสียชีวิตเมื่อปี 2525 ศพของเธอถูกพบอยู่หลังพุ่มไม้ ห่างจากสี่แยกที่มีผู้คนพลุกพล่านในเมืองซันนีเวล แคลิฟอร์เนีย เพียงไม่กี่เมตร
แม้จะรู้ข้อมูลว่าเธอเสียชีวิตเพราะโดนฆาตกรรม หลังจากที่คนร้ายข่มขืนเธอ แต่ตำรวจก็ตกอยู่ในภาวะมืดแปดด้านมาหลายทศวรรษ เนื่องจากไม่สามารถสืบหาตัวคนร้ายในคดีนี้ได้
เมื่อปีที่แล้ว ได้มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามส่งเบาะแสสำคัญมาให้ตำรวจ โดยชี้เป้าไปที่กลุ่มสมาชิกเพศชายในครอบครัวหนึ่งว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ต้องสงสัย และหลังจากที่เจ้าหน้าที่สามารถขอตัวอย่างดีเอ็นเอจากญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับชายที่ชื่อว่า แกรี รามิเรซ ทางตำรวจก็มีหลักฐานที่หนักแน่นพอจะดำเนินการจับกุม รามิเรซ ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 75 ปี ในฐานะผู้ต้องสงสัยของคดีฆ่าและข่มขืน สทิตต์

การค้นพบครั้งนี้กลายเป็นจุดหักเหและจุดจบของคดี ซึ่งก่อนหน้านี้พบแต่เบาะแสที่ไม่เกี่ยวข้องและชี้นำไปผิดทาง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับคดีอื่น ๆ ที่มีการสืบสวนค้างคามาเป็นเวลานานหลายสิบปี
แต่แม้ว่าเมื่อเวลาเดินทางมาถึงปัจจุบัน ที่มีเทคโนโลยีตรวจสอบและเทียบเคียงดีเอ็นเอที่ทันสมัย และทีมสืบสวนก็ยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้ง่าย ๆ ในตอนแรก
ตามข้อมูลในบันทึกของคดี ในวันที่ 2 ก.ย. 2525 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ สทิตต์ ออกไปเที่ยวตอนค่ำกับแฟนหนุ่มของเธอ โดยไปเล่นวิดีโอเกมที่ร้าน 7-Eleven แถวบ้าน มีคนเห็นเธอตอนที่ยังมีชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะที่เธอกำลังเดินไปยังป้ายรถเมล์ตรงหัวมุมถนนของสี่แยกที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพื่อกลับบ้านของเธอในย่านพาโล อัลโต
เช้าวันต่อมา คนขับรถบรรทุกซึ่งมาส่งของละแวกนั้นเป็นผู้พบศพของ สทิตต์ ซึ่งโดนทำร้ายอย่างทารุณอยู่ในตรอกใกล้ร้านอาหารชื่อ ‘ฮันนี บี’ ซึ่งปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว ผลจากการชันสูตรศพชี้ว่า เด็กสาวโดนข่มขืนและโดนแทงด้วยของมีคมถึง 59 แผล ซึ่งทะลุเข้าหัวใจและปอดของเธอ
คนขับรถบรรทุกให้ข้อมูลว่า เสื้อของ สทิตต์ เหมือนโดนกรีดออกและมีเลือดไหลออกจากคอของเธอเป็นจำนวนมาก ตำรวจยังพบว่า คนร้ายใช้เศษผ้าจากเสื้อของเธอมัดมือของเธอไว้ด้วย
หลังจากที่ตำรวจระบุตัวของ สทิตต์ ได้จากบัตรสมาชิกห้องสมุดของเธอซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ พ่อของเธอก็มายืนยันในภายหลังว่า เป็นศพของลูกสาวของเขาจริง นอกจากนี้ ตำรวจยังสามารถเก็บตัวอย่างเลือดและน้ำอสุจิของคนร้ายไว้ได้จากกำแพงอิฐในที่เกิดเหตุ แต่หลักฐานเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้การสืบคดีในตอนนั้นมีความคืบหน้า จนกระทั่งในอีก 18 ปีให้หลัง
ในปี 2543 ทีมสืบสวนสามารถสร้างโปรไฟล์ดีเอ็นเอของคนร้ายจากตัวอย่างอสุจิและเลือดที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุ และสามารถระบุได้ว่า ตัวอย่างทั้งสองประเภทมาจากบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งเป็นเพศชายและไม่ตรงกับดีเอ็นเอของแฟนหนุ่มของ สทิตต์ เขาจึงหลุดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างเป็นทางการ
เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวอย่างดีเอ็นเอเข้าไปยังระบบเก็บและเทียบเคียงข้อมูลดีเอ็นเอหรือ ‘CODIS’ (Combined DNA Index System) แต่ไม่สามารถจับคู่กับข้อมูลดีเอ็นเอที่มีอยู่ได้ คดีจึงยังคงค้างคาอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งถึงปี 2561 เมื่อมีการพัฒนาการเทียบเคียงพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านทางสายเลือด ซึ่งช่วยไขคดีฆาตกรรมสำคัญไปได้หลายคดี
ทีมสืบสวนได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญการลำดับวงศ์ตระกูลหรือสืบหาเชื้อสายของบุคคลด้วยดีเอ็นเอ เพื่อสร้างผังวงศ์ตระกูลของครอบครัวคนร้าย โดยอาศัยข้อมูลของตัวอย่างดีเอ็นเอที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุ
แมตต์ ฮัตชินสัน เจ้าหน้าที่สืบสวนสำนักงานด้านความปลอดภัยสาธารณะของซันนีเวล ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ได้รับเบาะแสสำคัญจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามในปี 2564 โดยแนะให้เขาสืบสวนลูกชายทั้ง 4 คนของ โรส อันกูเลรา รามิเรซ ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเฟรสโน ที่อยู่ห่างจากซันนีเวลไปประมาณ 257 กม. ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุร้ายกับ สทิตต์
ฮัตชินสัน ใช้เวลาอยู่นาน กว่าจะสามารถตัดชื่อลูกชายสองคนของครอบครัว รามิเรซ ออกไปได้ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เขามีปัญหาติดขัดกับรายที่ 3 จึงหันไปตรวจสอบข้อมูลดีเอ็นเอของ แกรี รามิเรซ ก่อน
ฮัตชินสัน หาทางเพื่อขอตัวอย่างดีเอ็นเอจากลูกของ แกรี รามิเรซ มาจนได้ หลังจากตามหาตัวพวกเขาจนเจอเมื่อตอนต้นปี 2565 และเมื่อเขานำตัวอย่างดีเอ็นเอที่ได้มาใหม่ไปเทียบกับตัวอย่างดีเอ็นเอในคดีของ สทิตต์ ก็พบว่ามีข้อมูลที่ตรงกันจนน่าเชื่อว่า ดีเอ็นเอที่ได้จากที่เกิดเหตุคือดีเอ็นเอของ แกรี รามิเรซ
ตำรวจซันนีเวลสามารถตามหาตัว รามิเรซ จนพบได้ในวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา และจับกุมเขาที่บ้านของเขาบนเกาะเมาวีที่ฮาวาย ต่อมา รามิเรซ ก็ถูกส่งตัวกลับมายังแคลิฟอร์เนีย เพื่อรับทราบข้อหาข่มขืน ลักพาตัวและฆาตกรรม
รามิเรซ มีกำหนดขึ้นศาลเพื่อสู้คดีในวันที่ 28 ต.ค. ที่จะถึงนี้ และระหว่างนี้เขายังคงโดนคุมขัง โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว
แหล่งข่าวและเครดิตภาพ : usatoday.com