เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 9 พ.ย. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. นำกำลังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองปิดล้อมตรวจค้นอาคารบีบีดี ถนนวิภาวดีรังสิต หลังสืบทราบว่าสถานที่ดังกล่าวมีบุคคลสัญชาติจีนสวมบัตรประชาชนคนไทย

ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ให้เช่าสูง 5 ชั้น ตั้งอยู่ในเนื้อที่เดียวกับสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง โดยที่ตั้งของบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่สมาคมเกี่ยวกับการค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำหมายจับเข้าจับกุม นายเส้า เสี่ยวปอ สัญชาติจีน ได้ที่ห้องทำงานบริเวณขั้น 5 ของอาคารดังกล่าว โดยขณะเข้าจับกุมผู้ต้องหาอยู่ในห้องทำงานที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา

หลังจับกุม พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า โดยคดีนี้ตำรวจได้ระดมกวาดล้าง และจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและบุคคลเฝ้าระวัง ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2022 จนพบข้อมูลบัตรประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่มีหน้าตาตรงกับชาวต่างชาติที่ใช้พาสปอร์ต 2 เล่ม จึงเชื่อว่าเป็นการสวมบัตรประชาชน และได้สืบสวนพร้อมนำกำลังเข้าจับกุม อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่มีบัตรประชาชนที่เป็นการสวมรอยชื่อคนไทย ซึ่งเคยมีคนมาแนะนำให้ทำ แต่ว่าตนเองไม่ได้ทำ ส่วนที่อาคารนี้ก็ไม่ได้เดินทางมานานแล้ว เมื่อตำรวจซักถามว่า การเดินทางมาที่มีรถตำรวจเป็นรถนำ จัดหามาจากไหน ผู้ต้องหาตอบแค่ว่า เพื่อนแนะนำให้

ขณะที่ พล.ต.ต.พันธนะ กล่าวว่า ผู้ต้องหาอ้างว่าจะเข้ามาทำธุรกิจในไทย จึงเข้าร่วมสมาคมดังกล่าว 3-4 ปีแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มธุรกิจ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องหรือดำรงตำแหน่งใดในสมาคม โดยจะต้องมีการตรวจสอบรายชื่อกับทางสมาคมอีกครั้ง นอกจากนี้ในการตรวจค้น ยังพบชุดลักษณะคล้ายเครื่องแบบทหาร ที่มีเข็มกลัดชื่อของผู้ต้องหา รวมถึงรถของผู้ต้องหาก็เป็นรถติดธงประเทศไทยและจีนทั้ง 2 ฝั่ง คล้ายกับรถของสถานทูต และยังมีรถตำรวจนำขบวนอีก 1 คัน ซึ่งหลังรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสอบทะเบียนด้วยสายตาแล้ว คาดว่าเป็นทะเบียนรถปกติ ไม่ใช่รถของสถานทูตแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการพยายามทำให้ดูเหมือนรถของสถานทูตเท่านั้น ส่วนรถตำรวจก็น่าจะเป็นรถปลอม นอกจากนี้ยังพบอาวุธปืนตั้งโชว์ตามโถงทางเดินอีก 6 กระบอก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปืนบีบีกัน

เบื้องต้นตำรวจจะดำเนินคดีตามหมายจับ ข้อหาแจ้งความเท็จฯ และปลอมบัตรประชาชน และหลังจากนี้ตำรวจจะขยายผลตรวจสอบของที่พบทั้งหมด หากพบว่าเข้าข่ายความผิดเพิ่มเติม ก็จะมีการแจ้งข้อหาภายหลังต่อไป.