เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าค่ำวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมรัตนะ อ.เมือง จ.ชลบุรี นายเอกสิทธิ์ ศรีสังข์ ทนายความของ 2 สามีภรรยา ที่ถูกสาวทอมเข้าแจ้งความดำเนินคดีอ้างว่าถูกข่มขืน บังคับขู่เข็ญ ให้ใช้ชีวิตอยู่กันแบบ 3 คนผัวเมีย ออกมาแถลงกับสื่อมวลชนว่า กรณีที่สาวทอมอดีตลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับบัญชี ที่บริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ชลบุรีไปออกข่าวหรือไปแจ้งความว่าถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือกักขังหน่วงเหนี่ยว ความจริงในเรื่องนี้ถือว่าเป็นชู้กับเมียเจ้าของบริษัทโลจิสติกดังกล่าว โดยระหว่างที่คบหากันได้มีการพูดจาขอความเห็นใจ และได้เงินจากภรรยาของผู้เสียหายไปไม่น้อยกว่า 500,000 บาท พร้อมทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แหวนแบนด์เนม แต่พฤติกรรมของสาวทอมก็ยังไม่ยอมหยุด จนเวลาเนิ่นนานกว่า 5-6 ปี กระทั่งมาถูกจับได้เมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา

‘สาวหล่อ’ แจ้งจับ ‘เจ้าของโลจิสติกส์’ ชื่อดัง บังคับร่วมเพศ ‘สวิงกิ้ง’ ใช้หนี้ 5 แสน

หลังจากนั้นผู้เสียหายฝ่ายชายได้เสนอทางเลือก 2 ทางคือ ต้องคืนเงินรวมทั้งทรัพย์สินที่ได้ไป หรือหากรักภรรยาของผู้เสียหายมากเมื่ออยู่กันมา 5-6 ปี จึงเสนอให้มาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้ตกลงมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ในลักษณะชาย 1 หญิง 2 โดยมาอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน มีสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว ซึ่งเป็นการมีเพศสัมพันธ์กันโดยความสมัครใจยินยอมกันทุกฝ่าย รวมทั้งมีการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆด้วยกันอย่างเปิดเผย ทั้งในและต่างประเทศ และหลับนอนด้วยกันโดยไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวแต่อย่างใด อาทิ ไปประเทศสิงคโปร์ นอนโรงแรมหรูในพัทยา รวมทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ไปร้านอาหารก็ถ่ายรูปร่วมกันทั้ง 3 คนกันอย่างเปิดเผย

นายเอกสิทธิ์กล่าวว่า ต่อมาฝ่ายทอมได้มีการร้องขอให้มีการทำสัญญาเป็นหลักฐานชัดเจนในการอยู่ลักษณะชาย 1 หญิง 2 เพราะกลัวว่าหากไม่มีการพอใจกันขึ้นมาอาจจะมีการฟ้องร้องเรื่องของการเป็นชู้ เพราะผู้เสียหายทั้งสองมีทะเบียนสมรสกันอยู่ จึงทำข้อตกลงเพื่อป้องกันตัวเอง โดยมีข้อห้ามเรื่องการทำร้าย ทำให้เสียชื่อเสียง แต่ข่าวที่ออกไปกลับกลายเป็นสัญญาทาส ซึ่งจากการตรวจสอบหลักฐานแล้วไม่ใช่เรื่องของสัญญาทาสแต่อย่างใด แต่เป็นการทำสัญญาที่มีข้อตกลงกันเอง โดยไม่การบังคับหรือขู่เข็ญแต่อย่างใด

“เมื่อมีการคบกันสักระยะหนึ่งคาดว่าคงมีเรื่องไม่เข้าใจกัน ระหว่าง 2 เมีย 1 ผัว เกิดการทะเลาะกัน จึงไปกล่าวหาว่าเป็นเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ และพยายามออกข่าวเพื่อเป็นกระแสสังคมมากดดันพนักงานสอบสวน การมาชี้แจงในครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและพร้อมจะต่อสู้คดีในชั้นศาล” นายเอกสิทธิ์กล่าวและว่า หากไม่ออกมาชี้แจง สังคมอาจไม่เข้าใจและฟังข้อมูลฝ่ายเดียว เชื่อว่าประชาชนที่รับข่าวสาร หากมีสติและไตร่ตรอง ก็คงจะมีข้อกังขาในใจ โดยข่มขืนหลายครั้ง หลายทีแต่ไม่แจ้งความ ประกอบกับมีภาพประกอบว่าไปเที่ยวไหนด้วยกันแล้วโดยเฉพาะไปต่างประเทศ รวมทั้งสัญญาทาสดูแล้วก็ไม่มีอะไร

นายเอกสิทธิ์กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ไม่กังวลในการต่อสู้คดีในชั้นศาล แต่ต้องมาพูดเพราะว่า หากไม่พูดสังคมจะไม่เข้าใจ สุดท้ายเชื่อว่าคดีจะจบลงด้วยดี เพราะถือว่าเป็นคนในครอบครัว แต่มีปัญหาไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง สุดท้ายหากมานั่งคุยและปรับความเข้าใจกันเชื่อทุกฝ่ายคงจบลงไปด้วยดี

ส่วนสัญญาที่อ้างว่าเป็นสัญญาทาสดูแล้วเป็นเรื่องข้อตกลงในการคบกัน 3 คน หากจะเลิกก็ต้องสมัครใจเลิกกันทั้ง 3 คน และจะไม่ทำร้ายกัน ซึ่งไม่มีการบังคับอะไรกันเลย ส่วนการประสานงานกับทางสาวทอมนั้น ยอมรับว่าติดต่อไปแล้ว แต่ไม่มีการตอบไลน์ หากพนักงานสอบสวนออกมาหมายเรียกมาคงต้องไปชี้แจง ยอมรับว่าสองผัวเมียขณะนี้เครียดมาก จากที่มีข่าวออกมา และทำให้เสียชื่อเสียง ที่สำคัญเป็นการออกข่าวฝ่ายเดียว จึงได้ออกมาชี้แจงข้อมูลให้สังคมทราบบ้าง และตนเองจะไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 11 พ.ย.เพื่อขอทราบข้อมูล เพื่อมาเตรียมการในการยื่นคำให้การในคดีนี้ต่อไป