เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีกรอบความร่วมมือครอบคลุมเรื่องการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. ประยุกต์ใช้สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่างๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนในด้านระบบการศึกษาและสาธารณสุข โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ รศ.ทวิดา กมลเวชช และนายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ร่วมงานแถลงข่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า การได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการพัฒนากลไกการดำเนินงานและการให้บริการของ กทม. จะช่วยให้การบริหารจัดการแก้ปัญหาเมืองทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนชาว กทม. มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข และสามารถพัฒนาเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน โดย กทม. มีความพร้อมที่จะพัฒนาความร่วมมือ 5 ด้าน กับ สวทช. ได้แก่ 1. การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ (ITMS) เพื่อบริหารจัดการจราจรทั้งโครงข่ายและกวดขันวินัยจราจร 2.การตรวจแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine 3.การศึกษาทางไกล เรื่องสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ให้มีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน 4.ด้าน Open DATA เปิดเผยข้อมูลโปร่งใส และ 5. เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหาฝุ่นและขยะ เป็นต้น โดยทั้งหมดเป็นการใช้เทคโนโลยีในการช่วยทำงาน ซึ่งจะช่วยการปฏิรูปการทำงานของระบบราชการ จากการทำงานที่เคยเป็นแบบระบบท่อ ก็เปลี่ยนเป็นการรับเรื่องแก้ปัญหาอยู่บนแพลตฟอร์มและช่วยกันให้บริการประชาชนได้อย่างทันท่วงที

ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวว่า สวทช. พร้อมสนับสนุน กทม. พัฒนาเมืองอย่างเต็มที่ ดังตัวอย่างที่เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น การบริหารจัดการเมืองในรูปแบบเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City โดย กทม. ได้นำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ไปใช้ดูแลด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านบริหารจัดการ เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การแจ้งจุดเสี่ยง ความสะอาด การบริหารจัดการข้อมูลของเมือง นอกจากนี้ สวทช. ยังมีผลงานวิจัยที่ส่งเสริมการดูแลสุขภาพประชาชน เช่น ระบบ A-MED Telehealth แพลตฟอร์บริการทางการแพทย์ทางไกล ตัวช่วยบุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มสีเขียวและเหลือง ในช่วงวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 รวมกว่า 1.3 ล้านคน ครอบคลุม 1,500 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และเตรียมขยายผลสู่ A-MED Care โดยดำเนินการร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม ร้านยาคุณภาพ สำหรับดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคทั่วไป โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล ช่วยลดการเดินทางและค่าใช้จ่ายผู้ป่วย รวมถึงลดความแออัดให้แก่สถานพยาบาล ปัจจุบันมีร้านขายยาใน กทม. ที่ได้รับการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 600 ร้าน สามารถดูแลผู้ป่วยกว่า 10,000 คน
ผอ.สวทช. กล่าวด้วยว่า สำหรับงานวิจัยที่ สวทช. โดยเนคเทค ได้นำร่องใช้กับ กทม. เช่น แพลตฟอร์มรับเรื่องและบริหารจัดการเมือง หรือ Traffy Fondue โดยประชาชนแจ้งปัญหาผ่าน Chatbot ทาง Line Application : @traffyfondue ซึ่งระบบจะวิเคราะห์ปัญหาและส่งไปให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตรงตามความต้องการของประชาชน ปัจจุบันมีผู้เข้ามาแจ้งปัญหาใน กทม. มากกว่า 180,000 เรื่อง ได้รับการแก้ปัญหาแล้วกว่า 120,000 เรื่อง นอกจากนี้ในด้านการให้บริการสาธารณสุข เนคเทค สวทช. พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการส่งต่อผู้ป่วย (e-Referral) เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์หลังบ้านเพื่อส่งต่อผู้ป่วยจากระดับปฐมภูมิไปยังระดับทุติยภูมิ และส่งต่อไปยังตติยภูมิหรือหน่วยงานเฉพาะทาง และสามารถส่งต่อระหว่างจากหน่วยปฐมภูมิ (e-Referral) สู่โรงพยาบาล โดยแพทย์สามารถติดตามข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยทั้งสองฝั่งแบบ Real Time และส่งกลับเพื่อการรักษาได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รองรับการทำงานการรับส่งต่อผู้ป่วยเพื่อดูแลต่อที่บ้าน (Home Health Care) ลดปัญหาความแออัดในการใช้บริการของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ปัจจุบันมีโรงพยาบาลสังกัด กทม. ใช้งานระบบ e-Referral แล้ว 7 แห่ง ได้แก่ 1. รพ.กลาง 2.รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ 3.รพ.ตากสิน 4.รพ.ราชพิพัฒน์ 5.รพ.สิรินธร 6.รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ และ 7. รพ.วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช