เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่แกรนด์เซนเตอร์ พอยต์ เพลินจิต ถนนวิทยุ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีรวบรวมพยานการประกอบธุรกิจในเครือของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลัง โดยอ้างว่า พบความผิดปกติการทำธุรกรรมทางการเงินในบริษัทหลายแห่ง พร้อมนำเอกสารข้อมูลการทำธุรกิจบริษัทในเครือของนายชูวิทย์ มาตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาการทำธุรกิจอาบอบนวด เคยเสียภาษีให้กับรัฐมากน้อยแค่ไหน

นายสันธนะ กล่าวว่า พบความผิดปกติในการกู้ยืมเงินในบริษัทแห่งหนึ่งของนายชูวิทย์ แบบผิดปกติ โดยเฉพาะประเด็นที่บริษัทมีผลประกอบการขาดทุน แต่กรรมการบริษัท กลับมีการกู้ยืมเงินบริษัท แม้ว่าจะทำได้แต่ถือว่าผิดปกติ อีกทั้ง ยังพบการทำธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับการไถ่ถอนที่ดิน ที่ผิดปกติ ส่วนการประกอบธุรกิจอาบอบนวดของนายชูวิทย์นั้น มีบุคคลสำคัญอดีตเคยดำรงตำแหน่งเป็น ผู้บัญชาการทหารบก มีความใกล้ชิดสนิทสนม และคอยให้การสนับสนุนนายชูวิทย์

นายสันธนะ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเคยเข้าไปร่วมทำธุรกิจกับนายชูวิทย์ จึงทราบข้อมูลมาพอสมควร และที่ผ่านมา นายชูวิทย์ ก็เคยมีปัญหาขัดแย้งกับนักธุรกิจที่ทำอาบอบนวดด้วยกันมาก่อนเช่นกัน นอกจากนี้ ยังเตรียมส่งเอกสารหลักฐานเหล่านี้ให้กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีของนายชูวิทย์ ย้อนหลังกลับไปตั้งแต่การประกอบธุรกิจปีแรก

นายสันธนะ ยังกล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ มีเจตนาแอบแฝงด้วยอาการขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งวัตถุประสงค์ทางการเมือง ถือว่าสำเร็จแล้ว จึงเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ น่าจะค่อยๆ ยุติลง ส่วนกรณีที่นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ถูกดำเนินคดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยื่นประกันตัว ซึ่งมองว่านายตู้ห่าว ไม่ได้รับความเป็นธรรม และไม่มีโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนเลย

ส่วนประเด็นที่ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท CEO กองสลากพลัส เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า นายสันธนะ ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย โดย นายสันธนะ ยอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่คนดี แต่ยืนยันว่า การที่ตัวเองถูกให้ออกจากราชการ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทุจริตต่อหน้าที่ อีกทั้งการถูกถอดยศตำรวจ มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางการเมือง.