สืบเนื่องจากกรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับคดีตู้ห่าว เป็นคดีพิเศษที่ 314/2565 เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนในส่วนของคดีอาญาการฟอกเงิน และเตรียมเรียกสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าวภายในสองสัปดาห์ ก่อนใช้กรอบระยะเวลา 30 วัน เพื่อรวมรวบพยานหลักฐาน พิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.55 น. วันที่ 16 ธ.ค. ที่ กระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าตามที่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาไว้สองสัปดาห์ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะมีการเรียกสอบปากคำเหล่าบรรดานอมินี นิติบุคคล บุคคล กรรมการบริษัทของนายตู้ห่าว โดยวานนี้ (15 ธ.ค.) ดีเอสไอได้มีการออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ เหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของดีเอสไอนั้น จะดำเนินการเกี่ยวกับคดีอาญาการฟอกเงิน โดยจะมีการสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติดกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนดำเนินการเรื่องสำนวน

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวถึงพฤติการณ์ของเหล่านอมินีของนายตู้ห่าว ว่า เนื่องด้วยนายตู้ห่าวเขียนหนังสือพยัญชนะภาษาไทยไม่เป็น แต่ได้สั่งการจ่ายแคชเชียร์เช็คผ่านทางโทรศัพท์โดยการพูดภาษาไทย เพราะตู้ห่าวสามารถพูดไทยได้ จากนั้นก็อัดส่งไปยัง “นาง พ.พาน” รายนี้ ซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินแทนนายตู้ห่าว ทั้งนี้ ทุกคนที่ดีเอสไอเรียกสอบปากคำนั้น ล้วนมีลักษณะพฤติการณ์เดียวกัน นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีความเชื่อมโยงในรูปแบบที่ชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีชาวต่างชาติเป็นหัวหน้าของเขาอีกที ดังนั้น จึงเข้ารูปเข้ารอยเป็นกระบวนการข้ามชาติได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ทุกหน่วยงานที่บูรณาการร่วมกันนั้นทำงานกันอย่างรวดเร็ว

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวอีกว่า เบื้องต้นตอนนี้ต้องไล่ยึดทรัพย์ก่อน เพราะทรัพย์สินอาจหายได้ และการสอบสวนก็จะดำเนินคู่ขนานกันไป หากสอบสวนเหล่าผู้เกี่ยวข้องจนได้พยานหลักฐานแล้ว แล้วบุคคลเหล่านี้ไม่สามารถชี้แจงที่มาของรายการทรัพย์สินได้ หรือพนักงานสอบสวนพบว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจริงๆ ทางพนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาสมคบฟอกเงินตามลำดับ รวมถึงข้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม แม้ต้นเรื่องจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ แต่พอดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้วนั้น ก็มีอำนาจขอสำนวนของตำรวจมาดูด้วยได้ 

“สำหรับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องที่ดีเอสไอจะเรียกมาสอบปากคำนั้น บุคคลเหล่านี้ต้องชี้แจงรายการทรัพย์สิน หรือเส้นทางการเงินให้ได้ ส่วนกลุ่มทุนชาวต่างชาติ 4-5 กลุ่ม ก็ปรากฏมีชื่อบริษัทเกี่ยวข้องถึง 5 บริษัท จึงต้องไปไล่ดูว่าในบริษัทเหล่านี้มีกรรมการอยู่กี่คน เราก็จะเรียกมาสอบปากคำให้หมด อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบรายชื่อในหนังสือจดทะเบียน ว่ามีจำนวนกรรมการในบริษัทกี่คน เพราะสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่าบุคคลใดเป็นนอมินี และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถือการทำกันเป็นขบวนการได้” ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต ระบุ

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวด้วยว่า ส่วนบริษัทรถทัวร์หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง หากบริษัทแห่งนี้มีรถกี่คัน เราจะอายัดทั้งหมดไว้ก่อน เพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน เพื่อไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนได้ และถ้ามีรถยนต์ เราก็จะอายัดไว้หมด ไม่ว่าบริษัทแห่งนี้จะมีรถกี่คัน แล้วค่อยมาจัดสัดส่วนว่าทรัพย์สินรายการใดเป็นของบุคคล หรือนิติบุคคลใด เพื่อติดตามตัวมาสอบปากคำ หากพบความผิดก็จะพิจารณาแจ้งข้อหาฟอกเงินเช่นเดียวกัน เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย.