เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กล่าวถึงกรณีมีการตั้งข้อสงสัยสาเหตุ เรือหลวงสุโขทัยอับปางจมในทะเลเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากบรรทุกกำลังพลจนทำให้น้ำหนักเกินกว่าที่เรือจะรองรับ รวมถึง ประเด็นเสื้อชูชีพที่ไม่เพียงพอกับจำนวนคนบนเรือ ว่า เรือหลวงสุโขทัย สามารถรับน้ำหนักจำนวนกำลังพลกว่า 105 ได้แน่นอน และปริมาณคนไม่มีผลที่จะทำให้เรือล่ม เพราะบนเรือมีปืนใหญ่หนักเป็นตัน หากจะมีคนมาเพิ่มบนเรือหลวงสุโขทัย อีก 50 คน ซึ่งแต่ละคนหนัก 70 กิโลกรัม ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
พล.ร.อ.อะดุง กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้เรืออับปางและจมใต้ทะเล มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เพราะอยู่มา 10 ปี ยังไม่เคยเจอทะเลคลั่งเหมือนคืนที่เกิดเหตุ น่ากลัวมาก อย่างที่เราเห็นกันในคลิป หัวเรือจมลงไป จนทำให้ท้ายเรือยกขึ้นสูงแบบเดียวกับภาพยนตร์เรื่องไททานิค
“นี่คือสิ่งที่ทหารเรือต้องเจอในห้วงออกไปลาดตระเวน ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศ กว่าจะนำเรือกลับเข้าฝั่งได้ ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ทหารเรือต้องพบเจอกับความแปรปรวนของอากาศ ซึ่งบางคนบอกว่าพยากรณ์อากาศได้ แล้วทำไมถึงยังออกเรือ ผมต้องตอบตรงๆ ว่า เรามีเรือรบต้องออกไปช่วยชาวประมง ที่ประสบอุบัติเหตุ เรือล่ม มีคนลอยคอในทะเล ซึ่งเป็นภารกิจของกองทัพเรือที่ต้องออกไป ยิ่งสภาพแปรปรวน ยิ่งต้องออกไปลาดตระเวน เป็นภารกิจ ต้องช่วยผู้ประสบภัยให้ทันท่วงที และเราก็เจอเสียเอง” ผบ.กองเรือยุทธการ กล่าว
เมื่อถามว่า เสื้อชูชีพ มีไม่เพียงพอต่อจำนวนคนบนเรือ พล.ร.อ.อะดุง กล่าวว่า ยืนยันว่า มีครบ เสื้อชูชีพมี 2 แบบ คือแบบเสื้อ และแบบห่วงยาง ซึ่งเป็นอุปกรณ์เซฟการ์ด แต่เมื่อเรือเผชิญกับคลื่นลมแรง อาจมีการกระแทกในจังหวะที่เรือหลวงสุโขทัย ดีดตัวสูงตามแรงคลื่น แล้วตกลงมากระแทกผิวน้ำอีกที อาจทำให้เสื้อชูชีพ หรือห่วงยาง หลุดได้ มันเป็นสถานการณ์ที่ฉุกละหุก จากที่เคยเตรียมการกันไว้ว่า แต่ละคนมีหน้าที่อะไร หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็จะไม่เป็นไปตามแผนที่ซ้อมกันไว้.
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก “กองทัพเรือ Royal Thai Navy”