สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ว่า ตามข้อมูลของอีพีเอ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือเขม่า ซึ่งมาจากแหล่งต่าง ๆ ตั้งแต่โรงไฟฟ้า ไปจนถึงรถยนต์, รถบรรทุก และโรงกลั่น เป็นสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับปอดและหัวใจ อีกทั้งยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนที่มีรายได้น้อยด้วย

ข้อเสนอปรับมาตรฐานคุณภาพอากาศ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยึดตามวิทยาศาสตร์และการประเมินข้อมูลที่อยู่อย่างเข้มงวด จะลดเกณฑ์กำหนดที่ยอมรับได้ของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5 ให้อยู่ในช่วง 9-10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรโดยเฉลี่ยต่อปี จากปัจจุบันที่ 12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งอีพีเอระบุว่า ทางหน่วยงานจะรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับการปรับแก้ไขให้อยู่ในช่วง 8-11 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเช่นกัน

แม้กลุ่มสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจะยินดีกับการตัดสินใจเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์อีพีเอว่า “ไม่ดำเนินการมากกว่านี้” และจะผลักดันให้อีพีเอกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

ขณะที่กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์, การผลิต และน้ำมัน ต่างวิจารณ์กฎดังกล่าวว่าเป็นการเพิ่มภาระด้านกฎระเบียบ พร้อมระบุว่า บริษัทบางแห่งอาจไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่ปรับแก้ใหม่ได้

อีกด้านหนึ่ง องค์กร “เอิร์ธจัสติส” ซึ่งฟ้องร้องอีพีเอให้ปรับปรุงมาตรฐานพีเอ็ม 2.5 จากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ข้อเสนอเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คือ “การพลาดโอกาส” ที่จะจัดการกับมลพิษเขม่าที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนราว 63 ล้านคนในสหรัฐ.

เครดิตภาพ : REUTERS