สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ว่า ตามข้อมูลของอีพีเอ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือเขม่า ซึ่งมาจากแหล่งต่าง ๆ ตั้งแต่โรงไฟฟ้า ไปจนถึงรถยนต์, รถบรรทุก และโรงกลั่น เป็นสาเหตุของโรคที่เกี่ยวกับปอดและหัวใจ อีกทั้งยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนที่มีรายได้น้อยด้วย
ข้อเสนอปรับมาตรฐานคุณภาพอากาศ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยึดตามวิทยาศาสตร์และการประเมินข้อมูลที่อยู่อย่างเข้มงวด จะลดเกณฑ์กำหนดที่ยอมรับได้ของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือพีเอ็ม 2.5 ให้อยู่ในช่วง 9-10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรโดยเฉลี่ยต่อปี จากปัจจุบันที่ 12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งอีพีเอระบุว่า ทางหน่วยงานจะรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับการปรับแก้ไขให้อยู่ในช่วง 8-11 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเช่นกัน
What is soot?
— U.S. EPA (@EPA) January 6, 2023
Soot – also known as fine particle pollution or PM2.5 – can penetrate deep into the lungs and can result in serious health effects including asthma, heart attacks and premature death. Vulnerable populations like children and older adults are most at risk.
แม้กลุ่มสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจะยินดีกับการตัดสินใจเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์อีพีเอว่า “ไม่ดำเนินการมากกว่านี้” และจะผลักดันให้อีพีเอกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
ขณะที่กลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์, การผลิต และน้ำมัน ต่างวิจารณ์กฎดังกล่าวว่าเป็นการเพิ่มภาระด้านกฎระเบียบ พร้อมระบุว่า บริษัทบางแห่งอาจไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่ปรับแก้ใหม่ได้
อีกด้านหนึ่ง องค์กร “เอิร์ธจัสติส” ซึ่งฟ้องร้องอีพีเอให้ปรับปรุงมาตรฐานพีเอ็ม 2.5 จากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ข้อเสนอเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คือ “การพลาดโอกาส” ที่จะจัดการกับมลพิษเขม่าที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนราว 63 ล้านคนในสหรัฐ.
เครดิตภาพ : REUTERS