สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ว่า ประธานาธิบดีลูอิซ อิกนาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล ประกาศยกระดับมาตรการด้านความมั่นคงและความปลอดภัยส่วนกลาง ในกรุงบราซิเลีย จนถึงวันที่ 31 ม.ค.นี้


คำสั่งดังกล่าวของลูลาเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังมวลชนหลายพันคน ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุน นายฌาอีร์ โบลโซนารู อดีตประธานาธิบดีฝ่ายขวา ซึ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้แก่ลูลา เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว บุกรุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภา ทำเนียบประธานาธิบดี และศาลฎีกา และมีการทำลายทรัพย์สินภายในสถานที่ทั้งสามแห่ง


ขณะที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้เวลานานหลายชั่วโมง จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ กระชับพื้นที่และจับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้จำนวนหนึ่ง โดยต้องมีการใช้ทั้งแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง


อนึ่ง สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของบราซิลรายงานว่า “มีกระแสข่าวแพร่สะพัด” เกี่ยวกับ “การเผชิญหน้าในกรุงบราซิเลีย” เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กระตุ้นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรึงกำลังเจ้าหน้าที่ตามสถานที่ราชการหลายแห่ง แต่ยังคงเกิดเหตุจลาจลในที่สุด


ทั้งนี้ ลูลา ซึ่งอยู่ระหว่างลงพื้นที่ในรัฐเซาเปาลู ประณามเหตุการณ์วุ่นวายและการก่อความไม่สงบครั้งนี้อย่างหนัก ซึ่งเกิดขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์ หลังการสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่าเป็นฝีมือของ “พวกคลั่งไคล้และนิยมฟาสซิสต์” ซึ่งได้รับการปลุกระดม “จากคนแดนไกลที่ไมอามี” สื่อถึงโบลโซนารู ที่เดินทางไป “พักผ่อน” ในสหรัฐ ล่วงหน้าเพียงไม่กี่วันก่อนการสาบานตนของลูลา และจนถึงตอนนี้ อดีตผู้นำบราซิลรายนี้ ยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ


ด้านสหรัฐ และรัฐบาลฝ่ายซ้ายของหลายประเทศในลาตินอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก ชิลี และอาร์เจนตินา พร้อมใจกันประณามเหตุการณ์ดังกล่าวที่กรุงบราซิเลีย ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งมวลชนฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐ ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 เพื่อหวังกดดันไม่ให้มีการรับรองผลการเลือกตั้ง ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ.

เครดิตภาพ : REUTERS