พีทีที สเตชั่น และบางจากคอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลคงเดิม มีผล 18 ก.พ. 2566 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ เบนซิน = 44.36, แก๊สโซฮอล์ 95 = 36.55, อี 20 = 34.24, แก๊สโซฮอล์ 91 = 36.28, อี 85 = 34.69, พรีเมียม โซฮอล์ 95 = 43.34, กลุ่มดีเซล = 34.44, พรีเมียมดีเซล B7 = 43.06 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมานายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพิ่งระบุมติกบง.ว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา และ ครม. ได้ขยายเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ที่ 1.34 บาทต่อลิตร ออกไปอีกจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 ประกอบกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนบัญชีน้ำมันมีรายรับประมาณ 516 ล้านบาทต่อวัน หรือ 14,455 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนบัญชีน้ำมันมีฐานะติดลบน้อยลง

ที่ประชุมกบง. จึงมีมติเห็นชอบค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสม โดยปรับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่สภาวะปกติตามปี 2563 ทั้งกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล เฉลี่ยอยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตร ซึ่งจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันมีรายรับในส่วนของน้ำมันดีเซลลดลงเป็นประมาณ 37.23 ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1,117 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้จะทำให้ราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินปรับลดลง ประมาณ 0.90 – 1.20 บาทต่อลิตร จะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 66 เป็นต้นไป แต่จนถึงขณะนี้ ราคาน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ ยังไม่มีการปรับลด แต่ยังปรับขึ้นอีกด้วย สร้างความงุนงงกับผู้บริโภคอย่างมาก