ถูกพูดถึงหนักมากทีเดียว สำหรับนักร้องเสียงดี เมธี ลาบานูน ที่ล่าสุดมาเผยถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่ตัดสินใจทิ้งวงการเพลง ลงสู่สนามการเมือง ผ่านรายการคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม

เมธี เผยว่า “ที่เห็นว่าวงลาบานูนหายๆ ไปคือจะมีหาย 2 ช่วง ช่วงแรกคือช่วง ยุค 90 ก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนวิชารัฐศาสตร์ เสร็จแล้วกลับมาอยู่แกรมมี่ ทำอัลบั้ม ที่มีเพลง เชือกวิเศษ, แพ้ทาง, ใจกลางเมือง ช่วงเป็นอาจารย์ประมาณ 4-5 ปี ครับ ก่อนกลับมาด้วยความที่ต้องเข้าใจว่ายุคนั้น ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กระแสเพลงมันเปลี่ยนไปเยอะมาก แล้วเราอาจจะคิดไปเองว่า เขาอาจจะไม่ได้ฟังเพลงแบบเราแล้วมั้ง แล้ว 2.เราอยากไปทำในสิ่งที่ตัวเองเรียนมา ตอนนั้นเราเป็นลาบานูน ตั้งแต่เราเด็กๆ ตอนอายุ 18 ปี ออกมาเพลง ยาม, 191, แฟนเก่า เรารู้สึกว่าพอเราเรียนจบ ลองกลับไปทำในสิ่งที่อยากทำดูว่ามันเป็นแบบไหนบ้าง ก็ไปทำ พอไปทำเสร็จแล้ว พี่กบ บิ๊กแอส บอกว่า กูคิดถึง ลาบานูน ว่ะ”

“ตอนปล่อยเพลงเชือกวิเศษ ถามว่าคิดว่าดังไหม ไม่ ๆ เราไม่คิดว่าจะดังอะไรมากมาย เพลง เชือกวิเศษ ตอนที่นั่งคุยอยู่ที่ค่ายเพลง ว่าเราจะปล่อยเพลงอะไรก่อน ผมยังไม่อยากปล่อยเพลงเชือกวิเศษเลย ทีมงานบอกปล่อยเพลงนี้แหละ แต่โชคดีที่ทาง genie records เขามีทีมที่เก่ง เขาปูพื้นฐาน การกลับมาของ ลาบานูน จำได้ว่า มีรูปพี่ตูน บอดี้สแลม ถือนมแล้วบอกว่าสิ่งที่คุ้นเคยกำลังจะกลับมา หลังจากนั้นก็พี่หนุ่ม กะลา รสชาติที่คุ้นเคยกำลังจะกลับมา เขายิงปูพื้นฐานมาแล้ว เรื่องครอบครัวผมมีลูก 3 คนแล้ว คนโตอยู่ ม.6 แล้วก็คนที่ 2 เป็นผู้ชายเหมือนกัน กำลังจะขึ้น ม.4 แล้วเรารู้สึกอยากได้ลูกผู้หญิงสักคน คนที่ 3 ก็ได้ลูกผู้หญิง ตอนนี้อยู่ ป.1 พอได้ลูกผู้หญิงมันสุดยอดแล้ว เข้าใจเลยว่ามีลูกสาวแล้วเราเป็นห่วงลูกสาวมากกว่า เราพยายามบอกลูกชายว่า เราเป็นผู้ชายลูกต้องดูแลเขา ลูกต้องดูแลผู้หญิงนะ แต่พอเป็นผู้หญิงเราคิดว่า แล้วใครจะมาดูแลเขาแทนเรา กับภรรยาผมจีบเขาตอนที่ทำกิจกรรมมหาวิทยาลัยปี 2 มันเหมือนพี่จีบน้อง ผมอยู่ปี 4 ภรรยาอยู่ปี 2 เวลาเราทำกิจกรรมลงค่ายอาสาต่างๆ รู้สึกว่าเคมีเราตรงกัน ถามว่าจีบยังไง ก็ให้เพื่อนไปขอเบอร์โทรศัพท์ให้หน่อยได้ไหม พอได้เบอร์ผมก็โทรฯ ไป หลังจากนั้นก็คุยไป คุยมา ทำกิจกรรมก็คลิกกัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีหวานๆ เรานัดทำกิจกรรมด้วยกัน เราทำจิตอาสา คุยทุกอย่างมันลงตัวกัน ตอนผมแต่งงานกับเขา ผมเป็นลาบานูนแล้ว ก็เลยบอกเขาว่า ชีวิตผมอาจจะไม่เหมือนคนทั่วไปนะ เพราะเราทัวร์คอนเสิร์ต เราอาจจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้น เราขออภัยจากใจจริงๆ แล้วก็ขอบคุณมากที่อยู่เคียงข้างเรา เข้าใจเรา”

เมธี เล่าต่อว่า “แต่ที่ผมลงการเมือง ผมก็ปรึกษาภรรยาครับ เขาเข้าใจนะครับ จริงๆ เขาไม่อยากจะให้ลงหรอก แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจ เขาคงจะคิดว่าผมอยากจะลองอะไรในอีกเส้นทางหนึ่ง ผมลงมาเล่นก็ตัดสินใจ ก็นานเหมือนกันนะ ที่อยากเล่นการเมืองเพราะนโยบายมั้งครับ เรารู้สึกว่าประเทศมันจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยมิติการเมืองจริง ๆ ตอนนั้นเราทำงานจิตอาสา เราช่วยอะไรต่าง ๆ ไม่ว่าจะโควิด ตอนโควิด 3 ปี ผมหมดกับถุงยังชีพเยอะมาก แต่เรารู้สึกมันก็ได้แค่จิตอาสา เราว่าถ้าเด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่เข้ามาในยุคนี้ อีก 20 ปีข้างหน้า เราจะฝากความหวังที่ใคร และเรารู้สึกว่าบ้านเมืองจะไปได้ มันต้องขับเคลื่อนด้วยการเมืองและผมเคยเป็นเลขานุการนายก อบจ.สตูล หนึ่งนโยบายสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด มันให้กับคนสามแสนคนได้เกิดประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น เรียนฟรี อยากเห็นเหลือเกินว่าประเทศไทยคนจนๆ คนหนึ่งที่เขาไม่มี แต่เขามีโอกาสจบ ม.6 แล้วเขาไม่มีโอกาสที่จะไปเรียนปริญญาตรีได้ เราแค่ให้ทุนคนเดียวได้ แต่ถ้าปีหนึ่งเด็กจบ 2-3 แสนคน เราไม่สามารถจะให้ได้ เพราะฉะนั้นนโยบายมันทำได้”

“อย่างการเล่นการเมือง มีทั้งบวกและลบ เราต้องรับให้ได้ นี่คือมิติของการเมือง บุคคลสาธารณะไม่ว่าจะเป็นทั้งการเมืองทั้งวงการบันเทิง มันต้องยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติในมุมมองผม แต่สุดท้ายเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เราขนาดไหน เขาไม่อาจจะเข้าใจเจตนารมณ์เราจริง ๆ ว่า เจตนารมณ์ของเรามันคืออะไร ผมเปิดตัวแรกๆ โดนด่าเต็มเลย ผู้ใหญ่ไม่บ่นเขาเข้าใจ ได้นั่งคุยกับพี่อ๊อฟ พี่กบ เขาเข้าใจ เป็นเรื่องที่เมธีอยากจะลองทำอีกทีหนึ่ง เรียกว่าทุกคนเข้าใจ ได้คุยกับวง ช่วง 2 เดือนนี้ยังไม่รับงานนะ เพราะต้องลงพื้นที่ ต้องไปเยี่ยมชาวบ้าน ก็เตรียมตัวมาเป็นปี ทุกคนก็เข้าใจ ปกติ ลาบานูน 1 ปีจะทำงาน 10 เดือน อีก 2 เดือน เราจะ Relax เราจะพักหยุดเดือนหนึ่งคือเดือนรอมฎอน อีกเดือนก็ให้ทุกคนไปเที่ยว เรื่องมองอนาคตของเราบนเส้นทางการเมืองไว้ยังไง ผมยังไม่ได้มองยาวถึงขนาดนั้น เดือนพฤษภาคม นี้ไม่รู้จะสอบผ่านหรือเปล่า ถ้าสมมุติได้เป็น ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”