พงศกร แปยอ หรือชื่อเล่น “กร” เกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2539 ที่จังหวัดขอนแก่น เคยคว้า 2 เหรียญทอง จากการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล ในรายการ 400 เมตร คลาส T 53 และ 800 เมตร คลาส T 53 และยังเคยเป็นแชมป์โลก 400 เมตร คลาส T 53 เมื่อปี 2019 ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ มาแล้ว

พงศกร แปยอ เป็นโปลิโอขาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด ต้องนั่งรถวีลแชร์ตั้งแต่ที่จำความได้ แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับชะตาชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เขาเริ่มเล่นกีฬาวีลแชร์เรซซิ่ง ตั้งแต่อายุ 13 ปี ในช่วงนั้นได้มี อ.สากล ทัพสมบัติ ที่สนิทกันชักชวนให้ไปแข่งขันกีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 30 “นครสุโขทัยเกมส์” เมื่อปี 2009 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาแทบจะไม่รู้จักกีฬาชนิดดังกล่าวเลย

แต่ด้วยพรสวรรค์ที่มีอยู่เปี่ยมล้นในตัวเขา จึงใช้เวลาทำความรู้จักและฝึกซ้อมก่อนแข่งขันแค่เพียง 1 เดือน ก่อนจะไปสร้างเซอร์ไพรส์ ด้วยการคว้าเหรียญทองแดง วีลแชร์เรซซิ่ง ประเภท 100 เมตร กับ 400 เมตร มาครองได้สำเร็จ

จากความตั้งใจมุ่งมั่นของ “เจ้ากร” ทำให้ไปเตะตาของ ประวัติ วะโฮรัมย์ และ เรวัฒน์ ต๋านะ สองนักวีลแชร์จอมเก๋าทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทอง พาราลิมปิกเกมส์หลายสมัยอย่างจัง

ถึงกับไปเอ่ยปากขอพ่อแม่ของพงศกร เพื่อมาดูแลและสนับสนุนในทุกๆ ด้าน โดยเรื่องการเล่นกีฬา ประวัติและเรวัฒน์ ได้มอบรถวีลแชร์ที่เคยใช้และสภาพยังดีอยู่ให้กับพงศกรได้ใช้งานและเข้าแข่งขันรายการต่างๆ

ก่อนไปแข่งขัน “โตเกียวเกมส์ 2020” ครั้งนี้ พงศกร ให้สัมภาษณ์ว่า “เป้าหมายของผมคือการป้องกัน 2 เหรียญทองให้ได้ และอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญคือผมจะต้องสร้างสถิตโลกให้ได้อีกด้วย เพราะสถิติที่ดีวันดีคืนทำให้ผมมั่นใจว่าจะทำได้แน่นอน”

ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่แค่คำสัมภาษณ์ธรรมดาของนักกีฬาคนหนึ่งเท่านั้น แต่ไอ้หนุ่มเมืองหมอแคน วัย 24 ปีคนนี้ทำมันได้จริงๆ

สถิติ 46.61 วินาที ที่พงศกรทำได้ในรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้เป็นตัวเลขที่สวยงามมากเพราะมันคือสถิติใหม่ของโลกและขอพาราลิมปิกเกมส์ ที่ไอ้หนุ่มเลือดนักสู้จากเมืองหมอแคน ได้สวมหัวใจสิงห์ พิสูจน์ความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจของตัวเองให้ชาวไทยและชาวโลกได้เห็นกัน

สิ่งสำคัญคือมันเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและประเทศไทย ที่ “ฮีโร่” ที่ชื่อ “พงศกร แปยอ” ได้นำธงไตรรงค์ไปโบกสะบัด พร้อมกับได้ฟังและเสียงเพลงชาติไทยอันไพเราะดังกระหึ่มในสังเวียนโอลิมปิก สเตเดี้ยม กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ไปพร้อมๆ กันนั่นเอง