สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่า ศาลฎีกามาเลเซียมีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง ยกคำร้องของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ซึ่งขอให้มีการรื้อฟื้นการสืบสวนสอบสวน คดีการยักยอกเงิน 42 ล้านริงกิต (ราว 325 ล้านบาท) จากเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของกองทุนพัฒนาแห่งชาติ (วันเอ็มดีบี) และศาลสูงสุดพิพากษา เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ยืนตามชั้นต้น ให้นาจิบรับโทษจำคุกเป็นเวลา 12 ปี จากความผิดดังกล่าว
BREAKING: Najib Razak has failed in his bid to review his conviction and sentence in the RM42 million SRC case.
— BFM News (@NewsBFM) March 31, 2023
The Federal Court dismissed his application in a 4-1 majority decision.
The former prime minister will have to continue serving his sentence in Kajang Prison. https://t.co/i3Cn38ggS6 pic.twitter.com/0MN4JYweR4
คำพิพากษาของคณะตุลาการระบุว่า กระบวนการทุกอย่างตั้งแต่ศาลชั้นต้น “เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย” และการรับพิจารณาคำร้องของอดีตนายกรัฐมนตรี “ถือเป็นกรณีพิเศษแล้ว”
Former Malaysian prime minister Najib Razak failed in his latest, and last, attempt to quash his corruption conviction on March 31, 2023. pic.twitter.com/BnSdZdmTQ4
— South China Morning Post (@SCMPNews) March 31, 2023
มติดังกล่าวของศาลฎีกาถือเป็นอันสิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อดีตผู้นำมาเลเซียยังคงเหลืออีกหนึ่งหนทาง ซึ่งเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่อาจทำให้ไม่ต้องรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำจนครบกำหนด นั่นคือ การยื่นฎีกาเพื่อขอรับพระราชทานอภัยโทษ จากสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ อาหมัด ชาห์
ทั้งนี้ นาจิบยื่นฎีกาผ่านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว โดยคณะองคมนตรีจะเป็นผู้พิจารณารายละเอียดทั้งหมดในฎีกา แต่อาจมีการขอคำปรึกษา หรือความเห็นจากรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม คู่ปรับทางการเทืองของนาจิบ
อนึ่ง นาจิบ วัย 69 ปี เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ของมาเลเซีย ซึ่งต้องเข้าสู่เรือนจำจากความผิดฐานคอร์รัปชั่น โดยคดีของเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นคดีแรกจาก “อีกหลายสิบคดี” ของวันเอ็มดีบี ที่นาจิบเป็นผู้ก่อตั้ง สมัยยังดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ซึ่งอัยการสูงสุดของมาเลเซีย กล่าวหาอดีตผู้นำประเทศ ยักยอกเงินรวมแล้วมากกว่า 18,000 ล้านริงกิต (ราว 139,472 ล้านบาท) ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2552-2561.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES