“ตลาดอาหารในสหรัฐอเมริกา” นับเป็นตลาดสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เสมอ เช่น “ตลาดอาหารหมักและอาหารดอง” ที่พบว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นในสหรัฐ ซึ่งเรื่องนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส (สคต.ลอสแอนเจลิส) ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลเรื่องนี้ไว้ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานฯ ซึ่งวันนี้คอลัมน์นี้ได้นำข้อมูลกับแนวทางในการสร้างโอกาสจากตลาดนี้มาให้ได้พิจาณากัน…

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก สคต.ลอสแอนเจลิส ระบุว่า ในปี 2023 อาหารหมักมาแรงมากในกลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐ โดยจากการสำรวจของ Today’s Dietitian and Pollock Communications พบว่า อาหารหมัก (fermented foods) เป็นอาหารกลุ่ม superfoods ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งปัจจุบันอาหารหมักได้ถูกกล่าวถึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารหมักของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ Miso, Natto, Pickled sour plum กับของประเทศเกาหลี อาทิ Gochujang และ Kimchi เป็นต้น

นอกจากนี้ อาหารหมัก sauerkraut ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยได้มีการนำมาบริโภคในฐานะเครื่องปรุง Hot dog และในปัจจุบันได้มีการนำมาประยุกต์เพื่อทำเป็นเมนูใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ กลุ่มเครื่องดื่มหมัก (fermented drinks) ก็ได้รับความนิยมตามไปด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันนอกจาเครื่องดื่ม เช่น kombucha จะได้รับความนิยมแล้ว กลุ่มของครื่องดื่มผลไม้หมักและไซรัปหมักก็ปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นในตลาดผู้บริโภคของสหรัฐ เช่น Tepache ซึ่งเป็นเครื่องดื่มสับปะรดหมักของ ประเทศเม็กซิโก ขณะที่อีกอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นหลักฐานซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของความสนใจอาหารหมักของผู้บริโภคในสหรัฐ ก็คือ การที่มีหนังสือสอนทำอาหารหมักวางจำหน่ายอยู่ในเว็บไซต์ Amazon.com มากกว่า 5,000 เรื่อง ที่สะท้อนว่ากลุ่มตลาดนี้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดสหรัฐ โดยการเติบโตของการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มหมัก แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของความต้องการบริโภคอาหารในสหรัฐที่ต้องการอาหารมีรสเข้มข้น อาทิ อาหารประเภท functional foods หรืออีกประเภทคือต้องเป็นอาหารพื้นบ้านดั้งเดิมที่ถ่ายถอดกันมานาน รวมถึงกลุ่มอาหารที่เป็น sustainable

ขณะที่ “ข้อคิดเห็น” จาก สคต.ลอสแอนเจลิส ที่มีต่อ “ตลาดอาหารหมักของสหรัฐ” นี้ ก็มีการระบุว่า ปัจจุบันแม้จะยังไม่มีข้อมูลมูลค่าตลาดอาหารหมักของสหรัฐ แต่รายงานจากหลายๆ องค์กรก็ได้มีประมาณการว่า มูลค่าของกลุ่มอาหารหมักนี้ น่าจะมีมูลค่าตลาดโลกสูงถึงระดับหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มอาหารหมักที่กำลังครองตลาดสหรัฐ อยู่ในตอนนี้ ประกอบไปด้วย 1.ตลาดอาหารหมักประเภทผัก Fermented pickle และ กิมจิ ซึ่งในปี 2022 มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 16% 2.ตลาดอาหารหมักประเภทเครื่องปรุงรสชาติ อาทิ soy sauce, tamarind sauce และ gojuchang sauce 3.ตลาดเครื่องดื่มหมัก เช่น Kombucha 4.ตลาดเครื่องดื่มหมักที่มีแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์ สาเก 5.ตลาดอาหารหมักที่เป็น dairy products เช่น โยเกิร์ต เป็นข้อมูลในแง่ขนาดกับมูลค่าตลาดอาหารหมักสหรัฐ ที่ผู้ประกอบการไทยน่าศึกษา

ส่วนในเรื่องของ “ปัจจัย” ที่ทำให้ตลาดอาหารหมัก-อาหารดองในสหรัฐ มีความน่าสนใจต่อผู้ประกอบการไทยนั้น ทางแหล่งข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า ประกอบไปด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1.อาหารหมักตอบโจทย์ความต้องการคนอเมริกันในปัจจุบันได้มาก อาทิ เพื่อการรักษาสุขภาพร่างกาย เนื่องมาจากการเจ็บป่วยแต่ละครั้งก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้จากการที่ต้องหยุดงาน และการรักษาพยาบาลในสหรัฐ ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทำให้ผู้บริโภคจึงหันเข้าหาอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น 2.ความวิตกกังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็เป็นอีกปัจจัยทำให้ต้องการอาหารที่สนับสนุนความยั่งยืนของธรรมชาติมากขึ้น 3.ความวิตกกังวลเรื่องการขาดแคลนอาหารและราคาอาหารที่สูงขึ้น 4.ความต้องการอาหารรสชาติที่แปลกใหม่ ที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น และพร้อมกันนี้ ทาง สคต.ลอสแอนเจลิส ยังได้เสนอแนวทางเพื่อการ “สร้างโอกาส” ให้กับผู้ประกอบการของไทยในตลาดอาหารหมักของสหรัฐ ไว้ว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรที่จะต้องเร่งทำ นั่นคือ ต้องพยายามผลิตคิดค้นปรับปรุงอาหารไทยดั้งเดิมที่เป็น fermented foods, fermented ingredients, pickled foods ให้เกิดความหลากหลายเพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยหลายๆ ชนิดมีศักยภาพ และโอกาสเจาะตลาดได้ไม่แพ้กับอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี นี่เป็นข้อมูลพร้อมคำแนะนำน่าสนใจ ที่ “เอสเอ็มอีไทย” ที่ต้องการ “เจาะตลาดอาหารหมักสหรัฐ” น่าพิจารณา และนำไปปรับใช้ได้.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ [email protected]

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thaitradeusa.com