สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ว่า รายงานดังกล่าว ซึ่งวิเคราะห์งานศึกษาที่มีอยู่ตั้งแต่ปี 2533 ถึงปี 2564 เผยให้เห็นว่า ผู้ใหญ่ทั่วโลกในสัดส่วนประมาณ 17.5% ได้รับผลกระทบจากการไม่สามารถมีบุตรได้
“สัดส่วนแท้จริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการขยายการเข้าถึงการดูแลภาวะเจริญพันธุ์ และทำให้แน่ใจว่า ปัญหานี้จะไม่ถูกมองข้ามในการวิจัย และนโยบายด้านสุขภาพอีกต่อไป” นพ.เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการดับเบิลยูเอชโอ กล่าว
The new estimates reveal limited variation in the prevalence of infertility between regions.
— World Health Organization (WHO) (@WHO) April 4, 2023
Rates are also comparable for high-, middle- and low-income countries, indicating that this is a major health challenge globally, affecting people from all walks of life. https://t.co/l0zf9fjRrD
อย่างไรก็ตาม นายเจมส์ เคียรี หัวหน้าฝ่ายการคุมกำเนิดและการดูแลภาวะเจริญพันธุ์ ของดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า มันไม่มีหลักฐานการเพิ่มขึ้นของอัตราการมีบุตรยาก ระหว่างปี 2533 และปี 2564
“จากข้อมูลที่พวกเรามี เราไม่สามารถบอกได้ว่า ภาวะมีบุตรยากกำลังเพิ่มขึ้น หรืออยู่ในระดับคงที่ ซึ่งคณะทำงานยังไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างชัดเจน” เคียรี ระบุเสริมว่า ข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันมีความหลากหลาย และไม่สอดคล้องกัน
ทั้งนี้ รายงานเน้นย้ำถึงความจำเป็นซึ่งประเทศต่างๆ ต้องรวบรวม และแบ่งปันข้อมูลที่มีความสอดคล้อง เกี่ยวกับภาวะมีบุตรยาก โดยแยกตามอายุและสาเหตุ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ต้องการการดูแลภาวะเจริญพันธุ์.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES