หลังเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคไทยมีความคุ้นเคยกับโลกออนไลน์มากขึ้น และต่างหันมาค้นหาข้อมูล รวมทั้งซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้บริบทของโลกธุรกิจในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไป
วันนี้ Google จะมาเจาะลึกเทรนด์และอินไซด์ล่าสุดว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคสมาร์ตโฟน ในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างไรหลังยุคโควิด และมีเทคนิคการตลาดอะไรที่แบรนด์สามารถนำไปใช้ได้บ้าง
พฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อสมาร์ตโฟนไทยในยุคหลังโควิดนั้นมี 3 ปัจจัยหลักๆ คือ

1. ความสนใจของสมาร์ตโฟนนั้นเกิดขึ้นตลอดทั้งปี “ในโลกออนไลน์”
แม้ว่าบริษัทสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงเวลาเดิมของทุกปี แต่เทรนด์การค้นหาของ Google ชี้ให้เห็นว่าความสนใจของสมาร์ตโฟนนั้นเกิดขึ้นตลอดทั้งปีในโลกออนไลน์ โดยจะเห็นได้ว่า 89% ของผู้ซื้อสมาร์ตโฟนในไทยเกิดความสนใจในตัวสินค้าระหว่างใช้งานช่องทางออนไลน์ โดยโฆษณาสมาร์ตโฟนบน YouTube ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้มากที่สุดถึง 66% เมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ
2. ค้นหาข้อมูลอย่างละเอียด 3 เดือน ก่อนตัดสินใจซื้อ
ผู้ซื้อสมาร์ตโฟนในไทยค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดผ่านหลากหลายช่องทางก่อนที่จะซื้อ โดยออนไลน์คือช่องทางหลัก และใช้เวลาถึง 3 เดือนก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งปัจจัยที่พิจารณาซื้อ คือ เทคโนโลยีล่าสุด, การถ่ายภาพ, หน่วยความจำ, 5G และความไหลลื่นและความเร็วในการทำงาน

3. ความภักดีต่อแบรนด์ลดลง
ผู้บริโภคสมาร์ตโฟนในไทยมีความภักดีต่อแบรนด์ที่ลดลง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแบรนด์ โดยกว่า 1 ใน 3 ของผู้ซื้อสมาร์ตโฟนเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแบรนด์ คือ คุณภาพที่ดี สเปกสมาร์ตโฟนที่สูง ราคาที่ไม่เกินงบ และส่วนลด โดยมีการค้นหาเกี่ยวกับคุณภาพและสเปกสมาร์ตโฟนบน Search “โทรศัพท์ รุ่นไหนดี” เพิ่มขึ้น 88% และค้นหา “มือถือสเปกแรง” บน YouTube เพิ่มขึ้น 300% และค้นหา “โทรศัพท์ สำหรับเล่นเกมราคาไม่เกิน 10000” บน Search เพิ่มขึ้น 300% และ “โทรศัพท์ ราคาไม่เกิน 4000” บน YouTube เพิ่มขึ้น 60%
เคล็ดลับสำหรับแบรนด์สมาร์ตโฟน
1. ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง
และรักษาการเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า (Top-of-Mind) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่ลูกค้านิยมนำมาพิจารณาก่อนซื้อ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ซื้อสมาร์ตโฟนในทุกช่วงราคา

2. ต่อยอดการรับรู้ที่ได้มาหลังจากเปิดตัว
พยายามสร้างแรงดึงดูดให้กับผลิตภัณฑ์ต่อไป และกระตุ้นการซื้อผ่านช่องทางที่ได้รับความนิยม อย่าง Search และ YouTube อย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้ครอบคลุมระยะเวลาในการการตัดสินใจซื้อของลูกค้าส่วนใหญ่ พร้อมทั้งใช้การรีมาร์เกตติ้งควบคู่ไปด้วยตลอดเส้นทางการตัดสินใจของผู้บริโภค
3. ใช้ประโยชน์จาก AI ในแคมเปญอัตโนมัติ
เพื่อช่วยจัดการกับความซับซ้อนของพฤติกรรมผู้บริโภคที่อาจจะทำได้ยาก ซึ่งบนช่องทางยอดนิยมอย่าง YouTube เองก็มีทั้ง Video Reach Campaign, Video View Campaign ซึ่งยังอยู่ในช่วงทดสอบระยะแรก และ Video Action Campaign ที่จะเป็นตัวช่วยให้กับแบรนด์อย่างครอบคลุมตลอดเส้นทางการซื้อ โดยแคมเปญเหล่านี้จะใช้ AI เลือกครีเอทีฟโฆษณาที่เหมาะสมส่งไปหาผู้บริโภคในเวลาและบริบทที่เหมาะสมที่สุด