พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น, พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด, พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ, พ.ต.อ.ณัฐภณ จินตะนานุช รอง ผบก.สอท.1, พ.ต.อ.ภูมิสิษฐ์ ตั้งวิทย์เดชา ผกก.2 บก.สอท.1 บช.สอท. ร่วมกันจับกุม นายพชร (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ชาว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ในข้อหา “เป็นผู้ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้น และกรรโชก และรีดเอาทรัพย์” โดยจับกุมได้ที่ห้างสรรพสินค้าย่านเขตวัฒนา กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก ช่วงต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้เสียหายเป็นหมอ และผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นไฮโซ ทั้งคู่ได้ติดต่อพูดคุยผ่านเฟซบุ๊กจนกระทั่งมีความสนิทสนมตกลงเป็นแฟน ซึ่งในระหว่างคบหาเป็นแฟนกัน ผู้ต้องหาได้ชักชวนให้ผู้เสียหายดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ก่อนจะเกิดอาการง่วงและไม่ได้สติ ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถครองสติได้ จากนั้นผู้ต้องหาได้นำนิ้วของผู้เสียหายไปสแกนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อเข้าแอปธนาคาร แล้วโอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหา ยิ่งไปกว่านั้นผู้ต้องหายังขู่บังคับผู้เสียหายว่าจะปล่อยภาพและคลิปในตอนที่ทั้งคู่อัดไว้ช่วงมีเพศสัมพันธ์กัน ผู้เสียหายจึงมาแจ้งเอาผิดดังกล่าว นำมาสู่การจับกุมในที่สุด

จากการตรวจค้นพบของกลาง 1.ยา ALPRAZOLAM (มีฤทธิ์ในการกล่อมประสาททำให้ง่วงและไม่ได้สติ) 2.เสื้อกาวน์แพทย์ 3.ชุดชั้นในสตรี และ 4.อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ

นอกจากนี้ จากการตรวจประวัติอาชญากรรมยังพบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมเคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังได้รับการประกันตัวและออกมากระทำความผิดอีก โดยในวิธีเดิมคืออ้างตัวเป็นไฮโซแล้วหลอกลวงเหยื่อ อาทิ ถูกตำรวจ สน.ยานนาวา จับกุมเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 64 ซึ่งผู้เสียหายเป็นหมอสาว มูลค่าความเสียหาย 500,000 บาท และถูกตำรวจ สน.คลองตัน จับกุมได้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 64 ซึ่งผู้เสียหายเป็นหมอสาวอีกเช่นกัน มูลค่าความเสียหาย 100,000 บาท

ผู้ต้องหามุ่งเป้าเน้นไปที่บุคคลกรทางการแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล เป็นอับดับ 1 และอันดับ 2 รองลงมาคือ อาชีพนักธุรกิจหรือธุรกิจส่วนตัว เพราะคนกลุ่มเหล่านี้จะไม่ค่อยมีเวลาที่เข้าไปสอดส่องชีวิตประจำวันของผู้ต้องหา ก่อนจะสร้างความสนิทสนมจนเหยื่อเชื่อใจและตายใจ จากนั้นก็จะหาวิธีแอบเข้าแอปธนาคารของเหยื่อแล้วโอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง.