จัดเป็นนักแสดงรุ่นเดอะในตำนาน ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ ที่วันนี้กลับมาโลดแล่นบนหน้าจออีกครั้ง งานนี้เจ้าตัวบอกเลย เคยน้อยใจวงการบันเทิง เพราะไม่มีงานจนถึงขั้นอยากทำละครเล่นเองไปเลย ผ่านรายการคุยแซ่บshow แบบจัดเต็ม

ป้าจิ๊ เผยว่า “ล่าสุดเรากลับมาเล่นละคร พระนคร 2410 ห่างจากจอไป 9-10 ปีมั้ง รุ่นนี้ไม่ต้องเคาะสนิมค่ะ เพราะชีวิตประจำวันก็เหมือนเล่นละครอยู่แล้ว ตอนนั้นอยู่ที่สตูดิโอโยคะ เจอคุณธงชัย ประสงค์สันติ เขาบอกว่า เดี๋ยวไว้เล่นละครกับผมนะครับ ป้าก็บอกว่าได้เลย เพราะธงชัยกับป้าจะคุ้นเคยกันสนิทกันมาก แล้วตอนหลังก็มีคนติดต่อมาอีกที เขาถามว่าเรื่องค่าตัวยังไง ป้าก็คิดถึงธงเขา อุตส่าห์เรียกร้องให้ไปเล่นก็เหมือนเป็นเพื่อนเรา แล้วในยามที่หายไปนาน ฉันเป็นนักแสดงเหรอเนี่ย ไม่ใช่มั้ง ป้าเลยคิดถึงธง เล่นก็เล่น พอเรียกค่าตัวป้า ก็เรียกเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แล้วเราไม่รู้เลยว่า ช่องจ่ายไม่ใช่ธงจ่าย แต่ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่เรารักแล้วเราคิดว่าเราอยากทำให้เพื่อนเรา ซึ่งเป็นเพื่อนที่ติดต่อมา โดยที่คนอื่นอาจจะไม่ทราบแล้วว่า ป้าพอจะแสดงละครได้ และทันทีที่ป้าได้ค่าตัวจากละคร ป้าจะหักทันที 10% ให้การกุศล การเลือกงานของป้านะ สิ่งแรกดูก่อนว่าบทเหมือนไหม เหมือนกับบทที่เราจะแสดง อันที่สองทำงานให้ใคร ก็ต้องทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้นเรื่องรับงานซ้อนหรือรับงานอื่นๆ อยากได้เงินเยอะ เรื่องหนึ่งที่กำลังจ้างเรา เขาก็มีความทุกข์นะ คิวไม่ได้สักที ค่าตัวได้เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือเปล่า แล้วคนที่น่ารักมากคือใครรู้ไหม พี่ตุ๊ก ดวงตา เขาบอก อ้าว…อิเจ๊ เราไม่ได้รับนาน เขารับกันยังไง ฉันก็ไม่รู้ ก็คุยกันว่าประมาณแบบนี้ มีเวลาให้เขาไหม เล่นให้เขาเต็มที่ไหม ค่าตัวควรจะเป็นยังไง แล้วอีกอันหนึ่งขอไม่รับเชิญค่ะ สาเหตุเพราะเราอยากจะเล่น เราจะมองเห็นตัวนั้นเป็นตัวที่มีชีวิต แล้วเพื่อนป้าบอกเห็นเล่นทีไรก็คนใช้ทุกที แต่คนใช้ของฉันมีความหมายนะ ไม่ใช่มาทีไรก็เดินถือขนไก่ ปัดนู่น ปัดนี่ นั่งพับเพียบ ส่วนใหญ่ที่เราได้รับ มันจะเป็นตัวเดินเรื่อง”

“มีแต่คนมาถามป้า ป้าบอกว่าอยู่วงการมาตั้งนานทำไมไม่เป็นผู้จัด ป้าบอกเห็นมามาก ผู้จัดมีฐานะดีหมดเลย แต่เห็นถึงการทำงานหนัก แล้วความทุกข์ทรมาน ความเครียด ป้าก็ไม่เอา ชีวิตป้าเกิดมา 1 ชีวิต ป้าเอาอะไรที่ง่ายๆ สั้นๆ เพราะป้าเป็นคนชอบสโลว์ๆ นิดหน่อยพอ แล้วเราไม่มีความสามารถ เราไม่ได้เป็นผู้บริหารที่จะจับคนนั้นคนนี้ มันไม่ใช่เรา เรานั่งอย่างเจียมตัวอยู่มุมหนึ่งแล้วท่องบทไป เวลาเขาเรียกเข้าฉากก็เข้าฉากไป เรื่องการดูแลตัวเอง อาหารการกิน เพราะกองถ่ายมีคนเยอะมาก อาหารรวม แล้วเราจะไปบอกอันนี้ฉันไม่กินนะ เพราะฉะนั้นป้าจะเตรียมอาหารไปเอง แล้วเป็นคนกินช้า ค่อยๆ เคี้ยว เคี้ยวไม่ถึง 30 ครั้ง มันไม่กลืน เรื่องของแบรนด์เนม ถึงป้าจะใช้แบรนด์เนม คนเห็นป้าก็ต้องนึกว่าของปลอม หน้าประมาณนี้มันจะไปไหม นู้นนี่นั่น ป้าก็เลยไม่ใช้ แล้วเงินสำหรับป้า มันเอาไปใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก เช่น ให้ทุนการศึกษาเด็ก เงินไม่มาก แต่จำนวนเด็กเยอะ ไม่ใช่เงินป้าคนเดียว เงินจากคนที่เรารู้จัก เงินจากลูกศิษย์ป้าบ้าง ล่าสุดก่อนโควิดมา เด็กและผู้ปกครองไปอยู่บ้านป้าที่บ้านสวนประมาณเกือบ 3 พันคน เราไม่ได้ให้เยอะ ให้คนละ 500 บาท แต่กว่าจะได้ ครูเขาก็จะสกรีน 1.ยากจน 2.ตั้งใจ 3.มั่นใจเรื่องการศึกษา เพื่อนบอกว่า 500 บาทของแกนะมันต้องสกรีนขนาดนี้ คือมันไม่ได้ มันไม่ใช่เงินของป้าคนเดียว อาจจะเป็นเงินหนูฝากมา พอมาที่บ้านก็มีปาร์ตี้ อาหารการกินเป็นซุ้มๆ แล้วแจกเงินทั้งหมด น่ารักมาก มันเป็นสิ่งที่เราชอบ แล้วคิดว่าเงินของเรามันมีความหมาย”

ป้าจิ๊ เล่าต่อว่า “เวลาเราตรงมากๆ เรากลัวไหมว่าเด็กๆ เขาจะไม่ชอบเราไหม ไม่เป็นไรหรอก เราทำให้คนทั้งโลกเข้าใจเราไม่ได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา อยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจให้คนได้ดี แต่ต้องดูมุมเขาด้วยว่า วันนี้เขามามุมไหน มุมเครียดหรือเปล่า เราต้องพิจารณา เคยมีนักแสดงสาวมาช้ามาก แล้วรุ่นป้าจะเป็นคนตรงต่อเวลา แล้วป้าจะไปก่อนเวลา เพราะป้ากลัวมาก เวลาเราไปแล้วเราเครียด คนมันรอ แล้วนักแสดงคนนั้นมาช้า คนในกองบอกว่า คุณลุงคนนั้นมาตั้งนานแล้ว แล้วเธอก็บอกว่า รอก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ค่ะ ไม่เห็นมีงานอะไรอยู่แล้ว เราต้องดูคนที่ไปเตือนด้วย สมัยสาวๆ มีคนจีบไหม อันนี้ต้องไปถามหนุ่มๆ ทำไมไม่มาจีบมากกว่า มีแต่เพื่อนวิศวะ ตอนนี้มาเจอกันมองป้าตาละห้อย ก็ภรรยาเขาอ้วนขนาดนี้ แต่ป้าก็เซ็กซี่ เอ็กซ์ อึ๋ม มันบอกว่าไง เสียดายจัง มาเสียดายอะไรกันตอนนี้ เมื่อก่อนพวกแกไม่มองฉันเลย อย่างครอบครัวป้า ตั้งใจคิดมาตลอด ข้อที่ 1. อยากเป็นภรรยา 2.อยากเป็นมารดา แต่โอกาสมันไม่มา ไม่มีใครมาบอกว่ารักป้าเลย”

“เวลามีใครเข้ามาในชีวิต มันเป็นเรื่องดีงาม แต่ถ้ามันไม่ได้เดินไปด้วยกันต่อ ทำไมเราต้องเอาชีวิตไปผูกกับใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้ว่า จะทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า ดูแลตัวเองก็ได้ ดูแลครอบครัวก็ได้ คนที่เรารู้จักไม่ใช่ไม่ดีนะ ดีหมดเลย ตอนนี้ฉัน 71 เนี่ย ไม่เอาฉัน ไม่ได้ต้องการที่จะมีใครที่ฉันจะต้องมานั่งโอบอุ้ม คิดเหรอว่าคนอายุ 72-73 จะแข็งแรงเหมือนฉัน แต่จะบอกว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดีมาก เมื่อเรามีคนที่ดีเข้ามาในชีวิต เราไม่จำเป็นต้องไปในจุดที่สมรส นึกถึงเมื่อไหร่ก็ดี ที่คนมองเตรียมตัวตายอย่างสงบ อันนี้ไม่เจ็บเลยนะ เป็นเรื่องจริง การตายอย่างสงบคือเราต้องรู้ว่าเราจะไม่ไปเป็นภาระใคร จัดการชีวิตของเรายังไง สมบัติ มรดกก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ ป้าทำพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ร่างกาย เผามันก็เน่าไปอยู่แล้ว ป้าก็เลยบริจาคร่างกายเอาไว้”