เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 21 เม.ย. ที่ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ (บางมด) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดปราศรัยย่อย โซนธนบุรีใต้ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” นำโดย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค นายอุตตม สาวนายน ประธานคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรค พร้อมผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา เขต 25 เขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ (ยกเว้นแขวงบางปะกอก) เบอร์ 2, นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขต 27 เขตบางบอน (เฉพาะแขวงบางบอนใต้) เขตบางขุนเทียน (ยกเว้นแขวงท่าข้าม) เบอร์ 12, นายมานพ มารุ่งเรือง เขต 28 เขตหนองแขม (เฉพาะแขวงหนองแขม) เขตบางบอน (ยกเว้นแขวงบางบอนใต้ และแขวงคลองบางบอน) เขตจอมทอง (เฉพาะแขวงบางขุนเทียน) เบอร์ 1, นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เขต 29 เขตบางแค (แขวงบางแคเหนือแขวงบางไผ่) เบอร์ 7 ปราศรัยนำเสนอนโยบายของพรรค ที่จะช่วยเหลือประชาชน กทม. ให้มีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง พร้อมเพิ่มเงินบัตรประชารัฐ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นางนฤมล ปราศรัยว่า เมื่อปี 62 พรรคส่งผู้สมัครลงทั้งหมด 30 เขต ได้รับชัยชนะมาทั้งหมด 12 คน แต่ฝั่งธนเราได้มาแค่ 1 คนเท่านั้น วันนี้ส่งผู้สมัครที่มีคุณภาพ มารับใช้พี่น้องประชาชนฝั่งธน และทั่ว กทม.ทั้ง 33 เขต หวังว่าจะได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชน ตอนนี้เหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ 22 วัน จะถึงวันที่ 14  พ.ค. ที่คนไทยทุกคนจะได้ออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งโดยครั้งนี้ จะใช้บัตร 2 ใบคือ เบอร์เขตใช้บัตรสีม่วง และเลือกพรรคใช้บัตรสีเขียว ขอให้ประชาชนศึกษาให้ดี เลือกเขตจากผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ และเลือกพรรคกาเบอร์ 37

พรรค พปชร. เป็นพรรคแรกที่พูดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พี่น้องประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็น รถสาธารณะ แก๊สหุงต้ม ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เราไม่ใช่เพียงแค่พูดแต่เราทำไปแล้วก็คือบัตรประชารัฐ เราต้องการจะเข้ามาดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้เข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ที่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อเด็กเกิดมาก็ต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างประชาชนทั่วไปก็ต้องได้รับการส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อที่เขาจะสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองให้ได้ สิ่งนี้ภาครัฐก็จะต้องเข้าไปดูแลเช่นกัน นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในเรื่องของสวัสดิการประชารัฐไม่ใช่เพียงแค่บัตรประชารัฐเท่านั้น แต่หมายถึงคนไทยจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้าน

“เราไม่ใช่แค่คิดแต่ว่าจะแจกเงิน แต่เรายังคิดไปถึงการให้เบ็ดกับประชาชนด้วย ก็คือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในชุมชน ด้วยการ “เติมทุน เติมทักษะ เติมรายได้” ต้องเติมทั้ง 3 อย่าง จึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เติมทุนอย่างเดียวไม่ว่าจะดำเนินการผ่านธนาคารของรัฐหรือกองทุนหมู่บ้าน แต่ไม่เติมทักษะใหม่ ก็ไม่สามารถเติมรายได้ให้ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจฐานรากได้ ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างงาน สร้างอาชีพควบคู่กันไปด้วย การสร้างบ้านต้องเริ่มที่ฐานราก เศรษฐกิจฐานราก ก็คือ ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย และยังมีโครงการบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยพี่น้องประชาชนจะได้มีบ้านที่สวยงาม มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ได้ และเพื่อให้ชาว กทม.ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้ เพราะคน กทม.ยังมีอีกหลายชุมชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง” นางนฤมล กล่าว

ด้าน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาพลังงานสูงมากซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชนคนไทย ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเล็งเห็นว่า เราจะต้องเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 2.50 บาท เราปรึกษากันแล้วว่า เราทำได้ เพราะเรามีทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์หลายคนมานั่งถกปัญหานี้ร่วมกัน แต่นโยบายดีๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรค พปชร.จะรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทุกองค์กร เพื่อให้ประเทศชาติของเราเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีความสุข และที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร จะเป็นเพราะซอฟต์พาวเวอร์ที่จะประสานให้ทุกฝ่ายสามารถเดินไปได้ด้วยกันได้ด้วยความสามัคคี การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ขอให้ทุกคนอย่าเลือกเพราะดูจากโซเชียลมีเดีย แต่ขอให้คิดถึงประเทศและลูกหลานของเราทุกคน โดยเราจะมาก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยกันในวันที่ 14 พ.ค.นี้ ขอให้คนไทยทั้งประเทศเข้าคูหากาเบอร์ 37

“วันนี้เห็นโพลหลายโพล โดยเฉพาะโพลออนไลน์ไม่มีชื่อคะแนนความนิยมให้กับ พล.อ.ประวิตร ผมก็เดินลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อไปคุยกับพี่น้องประชาชน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะเสียงตอบรับจากประชาชนต้องการให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในโลกความเป็นจริงไม่ใช่ในโลกออนไลน์ เพราะว่าพูดจริงทำจริง และพูดในสิ่งที่ทำได้” นายชัยวุฒิ กล่าว

ขณะที่ นายสันติ กล่าวปราศรัยว่า พรรค พปชร.มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือดูแลพี่น้องกลุ่มเปราะบาง จึงได้ออกนโยบายในเรื่องของบัตรประชารัฐ เพื่อพี่น้องที่ยังประสบปัญหาความยากจน และเพื่อให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุข บัตรประชารัฐอาจจะไม่ได้ช่วยให้ทุกคนมีความร่ำรวย แต่ก็สามารถทำให้คนไทยมีชีวิตตามอัตภาพที่ดี โดยเราจะจัดสรรเงินมาสนับสนุนบัตรประชารัฐ กับ กลุ่มเปราะบางทุกคน โดยเงินที่น่าจะพอเหมาะสม ก็คือเดือนละ 700 บาท หากพ่อแม่พี่น้องให้โอกาสพรรค พปชร.เลือกพรรคของเรา จนกระทั่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี บัตรประชารัฐจะปรับเงินสวัสดิการเป็น 700 บาททันที

นายสันติ กล่าวว่า เรายังมีเงินเติมทุนอีก 30,000 บาท ที่จะให้ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพได้ และที่สำคัญที่สุดนโยบายของพรรคพลังประชารัฐยังมีโครงการประชารัฐแก้ไขปัญหาความยากจน มีการฝึกอาชีพให้พร้อมเติมทุนให้ เพื่อไปสร้างงาน สร้างอาชีพ พี่น้องจะได้พ้นจากความยากจน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มเปราะบางของประเทศ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร มีนโยบายอย่างแน่วแน่และมั่นคง เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะท่านมีความตั้งใจให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ มีความสมัครสมานสามัคคี เพื่อให้ประเทศเกิดความสงบ เมื่อประเทศเกิดความสงบ เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะมีความแข็งแรงตามมา

ด้าน นายสกลธี กล่าวว่า เวลาเข้าคูหาขอให้ประชาชนจำเบอร์ของผู้สมัครให้ดี และขอโอกาสให้ชาวฝั่งธนกาทั้งคนทั้งพรรค ถ้าจะให้ความกรุณาผู้สมัครของพรรค ซึ่งพื้นที่โซนธนบุรีใต้ ยังมีอีกหลายอย่างที่รอการพัฒนาอย่างเช่นการท่องเที่ยวในทุ่งครุ ราษฏร์บูรณะทะเลบางขุนเทียน ก็ถือว่ามีจุดขาย แต่ต้องได้รับการพัฒนาในการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท กองทุนนี้จะเป็นคำตอบ แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ พรรคพลังประชารัฐเข้าไปเป็นรัฐบาล ซึ่งจะมีการผลักดันกองทุนดังกล่าวให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน พล.อ.ประวิตร พูดกับตนว่า เราจะต้องทำให้ชาว กทม.มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสะดวกสบาย พรรค พปชร.จึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 300,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ น่าจะได้เงินมาช่วยพัฒนาพื้นที่หลายหมื่นล้านบาท ดูแลและสร้างแหล่งท่องเที่ยวตามย่านต่างๆ หรือใช้ในการสร้างระบบขนส่งสาธารณะ และสาธารณูปโภคที่จำเป็นเพิ่มเติมได้”

นายสกลธี กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งให้พรรคคิดนโยบายด้านปากท้อง ลดค่าครองชีพ ออกมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งการลดราคาน้ำมันเบนซิน 18 บาท ลดดีเซล 6 บาท หรือการลดราคาแก๊ส เหลือถังละ 250 บาท ซึ่งสามารถทำทันทีที่เป็นรัฐบาล และล่าสุดพรรคได้ออกนโยบายลดค่าไฟฟ้า โดยจะปรับโครงสร้างราคาที่มีการคิดเงินซ้ำซ้อนอยู่มาก ซึ่งจะทำให้ลดค่าไฟฟ้าลงเกือบ 50% เหลือเพียงหน่วยละ 2.50 บาทเท่านั้น ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ทุกคนมีเงินเหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

จากนั้น ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ต่างสลับกันขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งทุกคนการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การลงพื้นที่ในขณะนี้ประชาชนต่างให้การตอบรับนโยบายของพรรคพปชร.เป็นอย่างดีเพราะเชื่อว่าจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดูแลผู้สูงอายุ หรือนโยบายลดราคาพลังงาน แก๊ส ค่าไฟฟ้า หรือ นโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา โดยประชาชนส่วนใหญ่จะสอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการของนโยบายต่างๆ ซึ่งผู้สมัครก็ให้ความมั่นใจกับประชาชนไปว่า ทันทีที่พรรค พปชร.ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล นโยบายทุกเรื่องที่ได้ประกาศกับประชาชนออกไป จะสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีอย่างแน่นอน