ทำเอานักแสดง นักร้องและพิธีกร ปอ อรรณพ ถึงกับงง หลังถูกโยงข่าวเป็นนักร้องเอวเด้งติดยา แถมติดหนี้ค่ายาเสพติด ซึ่งประเด็นนี้เจ้าตัวไม่รอช้า ล่าสุดออกมาเคลียร์ถึงประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นในรายการโต๊ะหนูแหม่ม พร้อมเปิดใจเคยคิดออกจากวงการไปทำอาชีพอื่นหลังจากเจอพิษโควิด-19

ปอ เผยว่า “เรื่องฉายานักร้องเอวเด้งคือถ้าเป็นเราเป็นคนชอบเด้ง เราก็ต้องออกกำลังกายฝึกทุกวัน แต่บางทีถ้ามันไม่ได้มันก็จะเกิดการอักเสบเฉียบพลันขึ้นมาได้ จนเป็นข่าวพระเอกเอวพลิ้วติดยามันมาได้ยังไงผมก็ยังไม่รู้เลย พอมีคนส่งข่าวอันหนึ่งมาให้ที่อยู่ในติ๊กต็อก ที่มันมีคนจั่วหัวว่านักร้องเอวเด้งเอวพลิ้วติดยา และทุกคนในคอมเมนต์ ก็คือเป็นชื่อเพลงผมบ้าง เป็นชื่อผมบ้าง เป็นอะไรที่มันจะสื่อสารว่าเป็นผมหมดเลย เพราะอาจจะเป็นภาพที่มันเคยชัดมาก่อน ว่าเราเอวเด้ง และคนก็เลยนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ ตอนแรกเห็นข่าวแล้วรู้สึกขำๆ เพราะคนเอวเด้งมันก็อาจจะมีเยอะแยะ แต่พอเข้าไปอ่านคอมเมนต์แล้ว แล้วมันมีแต่เราเลยรู้สึกว่ายังไงดีนะ เพราะทุกคนพุ่งเป้าหมายที่เรา เลยรู้สึกว่าเรื่องการติดยามันเป็นเรื่องผิดกฎหมายนะ และมันเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดี เลยเครียดนิดนึง และมีการปรึกษาคนรอบข้างว่าจะทำยังไงดี”

“ตอนแรกผมคิดว่าจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย คืออยากจะฟ้อง แต่ก็ไม่อยากยุ่งยาก เพราะเดี๋ยวเวลาฟ้องก็ต้องไปขึ้นศาล หาทนาย ไปเจอตำรวจ มันรู้สึกเสียเวลาชีวิต พอเริ่มมีคนถามเยอะขึ้น ล่าสุด พ่อก็ส่งมาถามว่าข่าวนี้เราหรือใครหรือเปล่าลูก แล้วเค้าอยู่ต่างจังหวัด เค้าไม่ได้อยู่กับเรา เค้าก็เริ่มมีความรู้สึกว่าเราจะฟ้องดีไหม และตอนนี้ก็ยังไม่ถึงดำเนินการแต่มีการคุยกับทนายแล้วว่าเราจะเอายังไงดี เค้าก็บอกว่าเรื่องพวกนี้ฟ้องได้หมดเลยที่เค้าพิมพ์มาเป็นคอมเมนต์เป็นชื่อเรา แต่ว่าเสียเวลาได้ไหมแค่นั้นเอง ก็เลยอยู่ในช่วงเวลาตัดสินใจ คือผมไม่ได้โกรธแต่ว่าผมกลัวคนเข้าใจผิด เพราะว่าถ้าคุณอ่านไปเค้าก็จะคิดว่าคนนี้แน่เลย คนนี้ใช่แน่เลย และมันอาจจะเป็นภาพจำของเค้าเกี่ยวกับเรา ซึ่งผมก็สงสัยว่าใครเป็นคนเขียน และเวลาคนเขียนบางทีมันไม่ค่อยแฟร์กับคนที่เขาถูกพูดถึงหรือถูกปรักปรำว่าเป็นเรา และผลกระทบมันก็ไม่ได้ตกกับเขา เพราะเค้าไม่ได้เอ่ยชื่อใคร เค้าอาจจะไม่ผิดหรือเปล่า และข่าวมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ซึ่งอยู่ที่เราจะต้องชั่งใจ”

ปอ เล่าต่อว่า “หลังโควิดเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เลยเด้งไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งตอนออกกำลังกายแล้วรู้สึกว่ามันไม่ค่อยไหว และบางทีเราก็สงสัยว่าทำไมเพลงของเราต้องเป็นขนาดนี้ ทำไมเราไม่ร้องดีๆ เหมือนมันเหนื่อยมาก และเหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ บางทีเวลาไปโชว์มันเกิดความกดดันว่าคนดูจะสนุกไหม ผมเองก็เคยคิดจะเปลี่ยนอาชีพนะครับ แต่ว่าไม่รู้จะทำอะไรดี เราก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบด้วย และเราทำมาก็มีความสุขกับมัน ก็ไม่คิดที่จะทิ้งมัน แต่อาจจะเป็นแค่ช่วงหมดแพสชั่น และต้องหากำลังใจเพิ่มพัฒนาร่างกาย แต่ด้วยความที่เราเป็นฟรีแลนซ์ เป็นอิสระ เป็นอาชีพที่อยู่กับงานในแต่ละวันที่เค้าจะจ้างมา มันก็เลยรู้สึกว่าถ้าหลังโควิดไปมันไม่มีแล้ว และถ้าคนจำเราไม่ได้จะทำยังไง อยู่กับบ้านไลฟ์สดไปมันก็ไม่ใช่เรื่อง มันก็เป็นช่วงที่คิดว่าหมดแพสชั่นเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ก็เริ่มโอเคขึ้นแล้วครับ”