สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ว่าคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ( เอฟทีซี ) เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับ “ช่องโหว่และจุดอ่อน” ในการรักษาสิทธิในความเป็นส่วนตัว หรือสิทธิส่วนบุคคล ของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก “ซึ่งสร้างความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญต่อสาธารณะ” โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ใช้งานซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้เมตา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก “แก้ไขความผิดพลาดทั้งหมดอย่างเป็นรูปธรรม”


รายงานของเอฟทีซีระบุว่า เมตาเจตนาชี้นำผู้ปกครองของผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 13 ปี “ไปในทางที่ผิด” ส่งผลให้เด็กในช่วงวัยนี้ยังคงสามารถสนทนา กับบุคคลซึ่งไม่ได้ผ่านการตรวจสอบและคัดกรองโดยผู้ปกครอง


ขณะเดียวกัน เมตายังคงเปิดโอกาสให้แอปพลิเคชันซึ่งถือเป็น “บุคคลที่สาม” บนแพลตฟอร์ม เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ทั้งที่เคยให้คำมั่นเกี่ยวกับการปิดช่องทางดังกล่าว หากเจ้าของบัญชีไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชันนั้น ภายในระยะเวลา 90 วันล่าสุด


ทั้งนี้ เอฟทีซีต้องการให้เมตาระงับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จนกว่าการตรวจสอบขั้นต่อไปนับจากนี้ จะได้ข้อสรุปว่า บริษัทสามารถปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองความเป็นส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน “ได้อย่างแท้จริง”

นอกจากนั้น เอฟทีซียังเตือนการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ที่อาจรวมถึง “การแบน” หากเมตา “แสวงหาผลประโยชน์” จากข้อมูลของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กและเยาวชน เนื่องจากบริษัท “ละเมิด” ข้อตกลงประนีประนอมมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 168,977.50 ล้านบาท ) จากกรณีอื้อฉาว ที่ข้อมูลของผู้ใช้งาน 87 ล้านบัญชีทั่วโลก รั่วไหลไปยังบริษัท “เคมบริดจ์ อะนาลิติกา” เมื่อปี 2561


ด้านเมตาออกแถลงการณ์ ว่าเอฟทีซี “เล่นการเมือง” กับบริษัทเอกชน และ “ละเมิดอำนาจการบริหารของเฟซบุ๊ก” พร้อมทั้งวิจารณ์ว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เมตาให้ความร่วมมือกับเอฟทีซีเป็นอย่างดีมาตลอด แต่อีกฝ่ายกลับไมเคยหยิบยก “ทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้” ขึ้นมาหารือ.

เครดิตภาพ : AFP