เมื่อไม่นานมานี้ นายแพทย์วิตอร์ โบริน เด ซูซา จากโรงพยาบาลโอสปิตาล ดาส คลินิคัส โบตูคาตู ในกรุงเซาเปาโล ประเทศบราซิล ได้โพสต์เอกซเรย์ของคนไข้รายหนึ่งบนทวิตเตอร์ ซึ่งกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว แม้ว่าต่อมาเขาจะตัดสินใจลบภาพนั้นทิ้งไป แต่เรื่องราวของคนไข้รายนี้ได้กลายเป็นอุทาหรณ์เตือนคน

คนไข้ที่ไม่มีการระบุนามรายนี้เดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาลของหมอเด ซูซา เพราะเขาไอไม่หยุดและมีอาการคัน หรือระคายเคืองผิวหนัง 

จากการทดสอบและถ่ายภาพเอกซเรย์ ปรากฏว่า สาเหตุที่ทำให้เขามีอาการป่วยก็คือ พยาธิตัวตืดหลายสิบตัวที่อยู่ในร่างกายของเขา กล่าวคือคนไข้คนนี้ป่วยเป็นโรคถุงตัวตืด หรือโรคพยาธิตืดหมู

ตามข้อมูลศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) ผู้ที่จะป่วยเป็นโรคนี้ได้ก็ต่อเมื่อกลืนอาหารที่มีไข่พยาธิตัวตืดเข้าไปในร่างกาย จากนั้นตัวอ่อนของพยาธิก็ฝังตัวในเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อต่างๆ หรือสมอง และทำให้เกิดถุงซีสต์ขึ้นมา ซึ่งในบรรดาพยาธิทั้งหมดนั้น พยาธิตัวตืดสามารถก่อปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงที่สุด

โรคพยาธิตืดหมู สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอุจจาระที่ปนเปื้อนในน้ำ การไม่รักษาความสะอาด ไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหารหรือปรุงอาหาร หรือได้รับไข่พยาธิที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อสัตว์โดยตรง

ปกติแล้ว พยาธิตัวตืดที่เข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ในส่วนที่เป็นลำไส้และทำให้เกิดอาการป่วยเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดท้อง หรือท้องเสีย แต่พยาธิชนิดนี้ก็สามารถออกจากลำไส้และเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ด้วย เช่น ปอด สมอง ดวงตา ไขสันหลัง อีกทั้งถุงซีสต์ที่มันก่อขึ้นก็จะทำให้เกิดอาการป่วยได้

ถุงซีสต์ที่มีลักษณะเป็นก้อนนี้จะห่อหุ้มตัวอ่อนพยาธิไว้เพื่อให้มันอยู่รอดได้ในร่างกายมนุษย์ แล้วยังเป็นส่วนที่สามารถสัมผัสได้ผ่านทางผิวหนัง 

จุดขาวๆ ที่ปรากฏในภาพเอกซเรย์แต่ละจุดในโพสต์เดิมของหมอเด ซูซา นั้นคือถุงซีสต์แต่ละถุง และซากของพยาธิที่กลายสภาพเป็นก้อนหินปูน

ถุงซีสต์เหล่านี้ใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปีๆ ในการก่อตัวหลังจากที่ไข่พยาธิเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย และสามารถขับออกจากร่างกายได้ด้วยการรับประทานยาหรือการผ่าตัด

จากโพสต์เดิมที่ลบทิ้งไปแล้ว หมอเด ซูซา ได้เขียนเตือนไว้ว่า ถ้าไม่อยากให้พยาธิพวกนี้เข้ามาอยู่ในร่างกาย ก็ต้องระวังเวลารับประทานอาหาร เขาอธิบายว่า คนไข้รายนี้ได้เข้ารับการสแกนเอ็มอาร์ไอเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบตำแหน่งของถุงซีสต์ในสมองของเขา ซึ่งปกติแล้วจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและชัก ตลอดจนมีอาการเวียนศีรษะ มึนศีรษะ สายตาพร่ามัวและมีภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อนำถุงซีสต์ออกไป

อย่างไรก็ตาม หมอเด ซูซา กล่าวว่า ถ้าหากผู้ป่วยไม่มีอาการปวดศีรษะ หรืออาการเกี่ยวกับสมอง ไขสันหลัง หรือดวงตา ก็อาจไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยซ้ำ เพราะร่องรอยในภาพเอกซเรย์เหล่านั้นเป็นเพียงซากของพยาธิ ไม่ใช่ตัวอ่อนพยาธิ ซึ่งหากไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตตามปกติ ก็สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้

แหล่งข่าวและเครดิตภาพ : ladbible.com