เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า พรรคก้าวไกลโตขึ้นมาจาก 81 คน ในปี 62 มาเป็น 152 ในปี 66 (เลขล่าสุด) เลขจำนวน ส.ส. ที่พรรคก้าวไกลได้ เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าอุดมการณ์แนวทางของพวกเขา ได้รับฉันทามติของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง เป็นปรากฏการณ์ที่ผมคิดว่าปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมไทย

นายเศรษฐา ระบุว่า กลับมาที่พรรคที่ได้ ส.ส.ในสมัยนี้ หลายพรรคอย่างภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เคยแสดงจุดยืนว่า ไม่สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ให้อำนาจ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกฯ ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกท่านต้องทำตามจุดยืนของพวกท่าน โหวตสนับสนุนนายกฯ ที่พรรคก้าวไกลเสนอ ซึ่งก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้ได้เป็นนายกฯ คนที่ 30 ตามกติการะบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ต้องรอให้ ส.ว. 250 คนต้องออกเสียง

“ทำให้ท่านได้ทำหน้าที่ของพรรคและนักการเมืองได้อย่างมีความสง่า มีความภาคภูมิ พูดได้เต็มปากว่า Represent ประชาธิปไตยได้อย่างเต็มตัว ทำให้ประเทศได้ผู้นำที่พร้อมจะนำพาประเทศพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว สร้างความสุขและการเปลี่ยนแปลงให้กับประชาชนทุกคน ทุกสิ่งอย่างที่พรรคทำ จะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในอนาคต การเพิกเฉยต่อหน้าที่เหล่านี้มีราคาแพงที่ต้องจ่ายในอนาคตครับ” นายเศรษฐา ระบุ.

ทางด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพรรคก้าวไกล ประสานการร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการเข้ามาแล้วหรือยังว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับการนัดหมายเข้ามา ซึ่งพรรค พท. คงต้องรอดูท่าทีพรรคก้าวไกลที่จะประสานเข้ามาก่อน เพราะถือว่าเป็นพรรคอันดับ 1 ก็ต้องเป็นฝ่ายที่เปิดท่าทีออกมา ส่วนแนวทางพรรค พท. จะเป็นอย่างไรหลังจากทราบท่าทีของพรรคก้าวไกลนั้น เรื่องนี้คงต้องรอให้กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) หารือกันก่อน