ถือว่าเป็นตัวแม่ ตัวมัม ตัวคลอดบุตรของจริง สำหรับ บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เพราะบุตรที่ได้รับการอุปการะ ก็ได้มีชีวิตที่ดีไปหลายคน ล่าสุดตอนนี้เจ้าตัวคือคนที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อเด็ก และสตรีจากการถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกกระทำชำเรา ไม่พอยังเป็นคนช่วยเหลือคนยามยาก จนเกิดมูลนิธิองค์กรทำดีขึ้น แต่ก็มิวาย ถูกคนครหา รายการคนดังนั่งเคลียร์ ช่อง 8 เลยขอเชิญตัวมานั่งเคลียร์ใจ ถามตอบทุกความสงสัย ที่หลายคนมองว่าเธอทำไป อาจมีปมอดีตที่ไม่มีใครรู้

บุ๋ม เผยว่า “เรื่องคลอดลูกแล้วยังดูสวย อาจจะเป็นเพราะว่า หันมาดูตัวเองจริงจัง เพราะว่าเราอยากมีชีวิตอยู่นานๆ เพื่อลูกค่ะ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจลดน้ำหนักหรืออะไรนะคะ เพียงแต่ว่าด้วยพอที่เรามีน้อง เราก็คุมอาหารเพื่อไม่ให้น้ำหนักเยอะจนเกินไป และทฤษฎีการท้องใหม่ ไม่จำเป็นเพิ่มน้ำหนักเพื่อลูกค่ะ สามารถมีน้ำหนักได้เท่าเดิมได้เลย เพิ่มจากเดิมได้ 3 กิโลกรัม จากน้ำหนักตัวเด็กพอ อย่างกรณีการออกหน้าช่วยเคสเกี่ยวกับการข่มขืน กดขี่ ข่มเหงสุภาพสตรี คือตัวบุ๋มเนี่ย การที่เราเป็นคนที่มีชื่อเสียงค่ะ แต่ชื่อเสียงมันอยู่กับเราไม่นานเนอะ ดังนั้นเราอยากใช้ชื่อเสียงในวันที่มีชื่อเสียงอยู่ เป็นกระบอกเสียงให้กับสิ่งดีๆ และก็เป็นพลังให้กับผู้หญิงอีกหลายคนว่า ถ้าเกิดคุณโดนใครทำร้าย คุณไม่จำเป็นต้องปิดปากเงียบ คนดีต้องอยู่ในสังคม คนร้ายต่างหากที่ต้องออกไปจากสังคม หรือไปอยู่ในคุก ดังนั้นเราควรจะเข้มแข็ง และปกป้องคนที่อ่อนแอ ก็เลยอยากเป็นกระบอกเสียงตรงนี้ กางปีกปกป้องผู้หญิงอีกหลายคนที่ไม่สามารถจะพูดได้ดังๆ ว่า เขาถูกทำร้ายอยู่ หรือเขาเคยโดนทำร้าย หรือผู้ชายคนนั้นก็ยังข่มขู่เขาด้วย มันไม่ใช่ชีวิตที่ดีเลยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งคะ เอาจริงๆ บุ๋มไม่เคยคิดเลยค่ะว่า ชีวิตนี้ต้องมาทำบทบาทขนาดนี้ รู้แค่ว่าวันนั้นเรามีลูกสาว ตัวเองก็เป็นผู้หญิง เราก็ไม่อยากเอาตรงนี้มานั่งกลัวกันเอง 2 คนแม่ลูก แต่เราต้องเอาชีวิตเรา และความเป็น ปนัดดา วงศ์ผู้ดี สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ คิดแค่นั้นเองค่ะ แต่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาลงบทบาทเต็มที่กับการที่ต้องมานั่งทำมูลนิธิจริงจัง เพื่อสานงานต่อกับหน่วยราชการ เพื่อคุยกับมูลนิธิอื่นๆ เช่น ตอนนี้อย่างที่หนูทำ เจอเด็กที่ลำบาก หรือโดนทำร้ายร่างกาย หรือครอบครัวที่มีการทารุณกรรมเด็ก เราก็จะจับแยกเด็กออกมา แล้วก็หาที่เรียนให้เขา มีโรงเรียนให้เขาเรียนฟรี หรือจะให้อนาคตจะไปต่ออย่างไร ซึ่งหนึ่งในโรงเรียนนั้นคือของ อ.ยิ่งศักดิ์ กราบขอบพระคุณค่ะ นี่คือความตั้งใจที่เราอยากจะทำอะไรดีๆ เพื่อสังคม แต่ก็ไม่นึกว่าเคสจะมาตลอดอย่างนี้”

“เคสหนักสุดบางเคสออกสื่อ เป็นเพราะว่ากรณีนั้น บุ๋มเจอเจ้าหน้าที่ไม่เป็นธรรมค่ะ บุ๋มเจอเจ้าหน้าที่ที่รู้จักกับคนร้ายค่ะ ดังนั้นบุ๋มเลยอยากได้สื่อที่เป็นพลังให้กับบุ๋ม อยากได้พี่น้องประชาชนมาเป็นพลังให้กับบุ๋ม เราต้องดูเป็นเคสแต่ละเคสค่ะ ซึ่งอย่างที่บอก จริงๆ แล้วเคสที่ออกข่าวที่บุ๋มทำทั้งหมดสักประมาณ 20% ค่ะ อีก 80% คือไม่ออกข่าวเลยค่ะ แล้วจัดการอยู่ตรงนั้น เคลียร์ตรงนั้นได้ และช่วยเหลือเขาได้จบเคสไป แต่ทำไม 20% ที่ออกข่าว อาจเป็นข่าวใหญ่ เพราะบางทีผู้เสียหายเป็นร้อยอย่างเช่น เคสโมเดลลิ่ง ที่เขาอยู่ในพื้นที่มาเกือบ 20 ปี แต่เขาทำเรื่องนี้กับเด็กๆ มามากกว่า 10 ปี แล้วเขาก็เก็บภาพเด็กเป็น 100 คน จนเราไปจับเขาได้ว่า เขาทำตัวตุ้งติ้ง แต่เขาไม่ใช่ค่ะ ตัวจริงเป็นผู้ชายแท้ๆ และมีภาพลับเขาทำอะไรกับเด็กอยู่ ดังนั้นเราต้องจับเขาให้อยู่ และเอาหลักฐานมัดเขาให้ได้ เพื่อไม่ให้เขาไปทำเด็กคนอื่นต่อไปค่ะ อย่างปม ข่มขืน=ประหาร ที่คนอาจจะมองว่าเราเยอะไป คืออาจจะเป็นเพราะว่า ผู้ชายคนนั้นคิดว่า คนที่โดนไม่ใช่พี่น้องเขาค่ะ ถ้าเป็นลูกสาวเขาโดน บุ๋มบอกเลยว่า เขาอาจจะไม่มองบุ๋มในการพึ่งกฎหมาย เขาอยากฆ่าไอ้คนที่ทำเองด้วยซ้ำไป ดังนั้นบุ๋มอยากจะบอกว่าข่มขืน = ประหาร ไม่ใช่เสียงบุ๋มนะคะ แต่เป็นเสียงของพี่น้องประชาชนที่ส่งเสียงมาให้บุ๋มค่ะ บุ๋มไม่ใช่เป็นคนเริ่มต้นความคิดนี้เลยค่ะ แต่บุ๋มแค่ทำไปข้างหน้าด้วยมุมมองกฎหมายที่เป็นไปได้ สิ่งที่บุ๋มทำคือทำให้มันเป็นจริงในมุมต่างๆ ที่ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เช่นกฎหมายตรงนี้มันอ่อนเกินไป ค่าปรับมันน้อยเกินไป หรือตอนนี้โทษจำคุกก็ยังอยู่ 4-20 ปี มันก็รู้สึกว่า คนที่โดนเขายังไม่สามารถปรับสภาพจิตใจได้เลย ไอ้นั่นออกจากคุกอีกแล้วแบบนี้”

บุ๋ม เล่าต่อว่า “ถามว่าหวาดกลัวเขาจะมาทำอีกไหมตอบเลยว่า ใช่ เพราะอย่าลืมนะคะ เคสข่มขืนต้องเป็นเคสที่เจอกับตัว ไม่ใช่อยู่ต่างจังหวัดแล้วทำกันได้ถูกไหม ดังนั้นเขากำลังจะกลับมาบ้านเดิม อ้าวแล้วคนที่โดนล่ะ จะเดินมามองหน้ากัน นั่นไง ถึงบอกว่ามันต้องให้เวลาคนที่โดน ไม่ใช่ให้เวลาให้เขาอยู่ในคุกนานๆ ดังนั้นบุ๋มก็เลยยื่นกฎหมายไปอีกข้อหนึ่ง โดยการขอยกเลิกข่มขืนนักโทษ 5 ประเภท นักโทษข่มขืนแล้วฆ่า ข่มขืนโดยใช้อาวุธร้ายแรง ข่มขืนคนในสันดาน (พ่อข่มขืนลูก ลุงข่มขืนหลาน หรือข่มขืนเยาวชน) และข่มขืนซ้ำ นักโทษข่มขืน 5 ประเภทนี้ ไม่ได้รับการอภัยโทษอีกต่อไปแล้วนะคะ แล้วบุ๋มยื่นกฎหมายสำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย เรื่องช่วยเด็ก ก็หลายอย่างมากค่ะ ตั้งแต่เด็กที่ครอบครัวไม่เหลือใครเลย ก็จะให้การศึกษาเขา ตอนนี้บุ๋มมีลูกบุญธรรม 9 คนด้วย แต่ละครอบครัวมาจากฐานะยากจน ใช่ แต่บางคนถูกทำร้ายร่างกายมา บางคนเป็นคดีมา ที่ไม่สามารถพูดได้ค่ะ หลายๆ คนเลยไม่ได้เปิดหน้า หลายคนที่โดนทำร้ายมาเนี่ย เราก็จะกางปีกปกป้องเขา เพราะไม่มีใครปกป้องเขา เราต้องคุยกับเขาเยอะมากเลยค่ะ ต้องพยายามเดินไปกับเขาค่ะ แล้วก็เข้าใจเขาให้มากที่สุดว่า สิ่งที่เขาเจอมันไม่เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แล้วบุ๋มก็จะรวมกลุ่มเด็กๆ ที่มีปัญหาด้วยกัน มาเจอกัน มานั่งพูดคุยกันว่า หนูมีพี่และมีน้องนะลูก หนูต้องใช้ความอ่อนแอที่หนูเคยเจอ มาเป็นความเข้มแข็งให้กันและกันให้ได้”

“มีเคสหนึ่ง โดนข่มขืนตั้งแต่ 2 ขวบ เป็นคนข้างบ้าน แล้วเป็นเจ้าของร้านชำ หนูว่าสัตว์ ทำน้องเขาถึง 10 ขวบเลย จนหนูมารู้เรื่องทีหลัง พ่อ แม่แ ละยายเขาเดินมาหาบอกว่า คุณบุ๋มช่วยเถอะ เพราะตำรวจไม่ช่วย เพราะเขาบอกว่า เมียเป็น อบต. เคลียร์ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ในพื้นที่นั้นซึ่งมีเด็ก 13 คน ที่โดน เด็กผู้ชาย 3 คน เด็กผู้หญิง 10 คนค่ะ ทำผู้ชายด้วยใช่เลย มีผู้ชาย 3 คน แต่ตำรวจไม่รับแจ้งบอกว่า เด็กผู้ชายไม่เสียหายหรอก แต่เด็กผู้ชายกำลังเล่าให้บุ๋มฟัง น้ำตาเขาคลอ มันคือแผลในใจเขา แต่ไม่มีคนรับฟังเสียงของเขา ผู้ชายก็คนค่ะ แล้ววันหนึ่งมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปแจ้งความค่ะ ตำรวจถามมีหลักฐานไหม สิ่งที่เด็กเข้าใจ วันนั้นเขาเลยให้เพื่อนเด็ก 6 ขวบ อีกคนหนึ่ง ปีนเข้าไปในบ้านหลังนั้น แล้วไปยืนอยู่มุมตู้เสื้อผ้าแอบอยู่ตรงนั้น เพื่อให้เขาโดนข่มขืนอีกครั้ง แล้วถ่ายรูปค่ะ นั่นคือสิ่งที่เขาเข้าใจค่ะ บุ๋มก็เลยถามไปยังนายก อบต. ว่า คุณมีเมียแบบนั้น ขอโทษนะคะ วิญญาณเก่าออก อ้าวเมียเป็น อบต. แล้ว อบต. ส่งเสริมเรื่องราวคดีอย่างนี้เหรอ คุณรับอย่างนี้เหรอ อบต. นี้จะได้ไม่ต้องเลือกอีก เอาไง หนูจะได้ลงโพสต์ ทีนี้บุ๋มก็ไปอีกจังหวัดหนึ่ง แล้วจังหวัดนั้นก็เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่ไม่มีตรวจร่างกายอีก บุ๋มก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายพาขึ้นรถไป ไปจังหวัดนั้นนะลูก เพื่อเอาหลักฐานตรวจร่างกาย”

“ที่คนแซวมีปมไหมกับการข่มขืน ไม่จำเป็นต้องมีปมก็ช่วยกันได้ค่ะ เรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยเป็นเด็กผู้หญิงที่มีรูปร่างเป็นสาวมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็อาจจะด้วยหน้าตา หรืออะไรก็ตามที่เขาไม่ได้รู้จักนิสัยเรา เลยทำให้หลายๆ คนพยายามจะเข้ามาลวนลาม มีค่ะ ถึงขั้นลวนลาม มันเหมือนเป็นการคุกคามทางเพศ ส่วนเรื่องการแต่งงานที่มากกว่า 1 ครั้ง บุ๋มว่าจะแต่งงานกี่ครั้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วค่ะ เพราะเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุดคือ คุณมีความสุขกับชีวิตคู่ ณ วันนี้หรือเปล่า ถ้าคุณกลัวเพียงว่าเลิกกับความสัมพันธ์ ทั้งๆ ที่อาจจะโดนทำร้ายร่างกาย หรืออาจจะไม่มีความสุขกับตรงนี้มากนัก ผู้ชายข่มขู่ กดขี่ โดนด่าอยู่ตลอด แต่ต้องทน เพราะกลัวว่าปากคนอื่นจะว่าคุณว่า คุณเป็นผู้หญิงม่าย หรือคุณแต่งงานหลายหน คุณกำลังแคร์คนอื่นมากกว่าความสุขของตัวเองนะคะ ดังนั้นบุ๋มแคร์ความรู้สึกของตัวเอง และของลูกค่ะ ไม่ใช่ว่าบุ๋มไม่แคร์ลูกเลย หลายคนเขียนมาว่า บุ๋มสงสารน้องอันดา ไม่ต้องสงสารน้องเลยค่ะ น้องมีความสุขมากค่ะ (ยิ้ม)”