สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอังการา ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ว่าผลอย่างไม่เป็นทางการของการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบชิงดำซึ่งเป็นรอบตัดสิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน กับนายเคมัล คิลิกดาโรกลู ผู้นำฝ่ายค้าน ปรากฏว่า เออร์โดกันได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนราว 27.1 ล้านเสียง คิดเป็น 52.14% และคิลิกดาโรกลูได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนราว 24.9 ล้านเสียง คิดเป็น 47.86% โดยเหลือคะแนนที่ยังไม่ได้นับยังไม่ถึง 1%


ผู้นำตุรกีวัย 69 ปี ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ครองอำนาจยาวนานที่สุด นับตั้งแต่นายมุสตาฟา เคมัล อตาเติร์ก บิดาแห่งชาติ ปราศรัยทั้งที่กรุงอังการาและเมืองอิสตันบูล ว่า “ชาวตุรกีทั้ง 85 ล้านคนคือผู้ชนะ” ผลการเลือกตั้งรอบตัดสินเป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมทั้งขอบคุณประชาชนสำหรับความไว้วางใจ ตลอดระยะเวลานานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

มวลชนฝ่ายสนับสนุนประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี รวมตัวเฉลิมฉลอง ที่เมืองอิสตันบูล


อนึ่ง เออร์โดกันขึ้นสู่อำนาจสูงสุดทางการเมือง ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2546 และชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2557 หลังมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วให้อำนาจบริหารทั้งหมดขึ้นตรงกับประธานาธิบดี


ขณะเดียวกัน ผู้นำตุรกีกล่าวถึงฝ่ายค้าน ว่าทำผลงานได้แย่กว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 และพรรคสาธารณรัฐประชาชน ( ซีเอชพี ) ซึ่งเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน “ควรทำอะไรสักอย่าง” กับคิลิกดาโรกลู

นายเคมัล คิลิกดาโรกลู ผู้นำฝ่ายค้านตุรกี

ด้านคิลิกดาโรกลู ซึ่งสามารถนำเออร์โดกันเข้าสู่การเลือกตั้งรอบชิงดำได้สำเร็จ หลังทำคะแนนเบียดกันอย่างสูสี ในการเลือกตั้งรอบแรก เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา กล่าวเพียงว่า “เศร้าใจกับความยากลำบากที่ตุรกีต้องเผชิญอีกอย่างน้อย 5 ปี ภายใต้เออร์โดกัน”


ทั้งนี้ เออร์โดกันให้คำมั่นเดินหน้าแก้ไขวาระเร่งด่วนของตุรกี ที่รวมถึงการเดินหน้าฟื้นฟู และช่วยเหลือประชานในพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหว และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา อยู่ที่ 50.5% แม้ยังถือว่าสูงมาก แต่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังเคยทำสถิติสูงถึง 85.6% เมื่อเดือนต.ค. ปีที่แล้ว.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, AFP