ออกมาเปิดใจหลังเจอมรสุมชีวิต 2 ลูกใหญ่สำหรับ ลุกซ์ ชาญวิทย์ น้องชายของนักร้องลูกทุ่งสาว ใบเตย สุธีวัน ที่วันนี้จะมาเปิดใจหลังเข้าไปเยี่ยมพี่สาวกับพี่เขย พร้อมเผยคำพูดจุกอกจากหลานสาว น้องเวทมนต์ ร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ อีกทั้งยังมีเรื่องที่แฟนหนุ่มที่คบกันมา 12 ปี ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผ่านรายการคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม
ลุกซ์ เผยว่า “เรื่องล่าสุดโพสต์ภาพครอบครัว แท็กไปหาไอจีพี่ใบเตยกับพี่แมนด้วยมันเป็นกิจกรรมของครอบครัวที่เคยทำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเวทมนต์แท็กให้พ่อกับแม่เขาทราบ เผื่อว่าวันหนึ่งเขามีโอกาส เขาจะได้เห็นน้องพัฒนาการยังไงบ้าง ที่ผ่านมาเราทำอะไรบ้าง สภาพจิตใจตอนนี้ทางครอบครัวก็ดีขึ้นเป็นลำดับ คุณแม่อยู่ต่างจังหวัด แต่คุณพ่ออยู่ด้วยกัน ส่วนบ้านพี่แมน คุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ทุกๆ ท่านรู้สึกดีขึ้น เพราะมันผ่านเวลามาเกือบเดือนแล้ว เรื่องใบเตย พี่แมน ลุกซ์ก็คอยประสานทุกคนให้กลับมาเข้มแข็ง ให้มาสู้เพื่อพี่เตย พี่แมน เราไปเยี่ยมพี่เขาสองคนทุกวัน ส่วนอาการของเขาแรกๆ ก็เสียใจกันหมด ในนั้นเขาอยู่กันแบบผู้ต้องหาทั่วไป แรกๆ ทำใจกันยากนิดนึง ตอนนี้เขาก็คุยพยายามมองหาสิ่งดีๆ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ก็เหมือนทั้งคู่ก็ดีขึ้น พอไปถึงถามก็เป็นคำถามแรกของทั้งสองคนเลย ก็จะถามหลานเป็นยังไง หลานทำอะไร เขาถามหาไหม เราก็บอกตามตรง ถามทุกวันเหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่างของพี่เตย พี่แมน เขาก็ถาม เขาจะรู้ เขาจะจำได้ เราจะบอกว่าไปต่างประเทศบ้าง ไปทำงานบ้าง พอถามเสร็จปุ๊บ เขาก็สตั๊นไปพักหนึ่งแล้วไปเล่นต่อ”
“เขาเองยังไม่มีคำถามว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ เพราะว่าเหมือนเขาฟังเราพูดปุ๊บเขาก็เข้าใจในสเต็ปหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ไปเล่นต่อ แต่บางทีเขาเล่นติ๊กต็อกหรือยูทูบ เขาก็จะผุดขึ้นมาเลย อยากเจอ ตอนนี้เราเลยบอกที่บ้านว่าระงับไม่ให้เขาเล่นโซเชียล ตัวหลานเขาไม่ร้อง แต่ลุกซ์อ่ะร้อง นี่คือเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ลุกซ์พาหลานไปอยู่กับคุณแม่ที่ใต้ เพราะว่าหลังเจอเรื่องที่เตยปุ๊บ เรากลับบ้านมา เราเห็นหน้าหลานทุกวัน ลุกซ์ร้องไห้ทุกวัน รู้สึกว่าคิดถึงแม่เขา รู้สึกว่ามวลสารในบ้านไม่ค่อยดีแล้ว รู้สึกเราเป็น toxic ให้หลาน เลยขอแม่ว่าให้แม่ไปอยู่กับหลานก่อน เพราะเราเหมือนเป็นคนส่งพลังลบมา เราไม่ไหว ก็เลยให้เขาไปอยู่ด้วยกันก่อนที่ใต้ ซึ่งแม่ดูแลหลานได้ดี จนกระทั่งลุกซ์พร้อม เสร็จเรื่องงานศพแฟนแล้ว ลุกซ์ก็ไปพาเขากลับมา เขาเห็นแล้วเขาจะสตั๊นไปเลย แล้วมาจับเราถามว่าน้าลุกซ์เป็นอะไรร้องไห้ทำไม ปกติลุกซ์ว่าลุกซ์เข้มแข็งมาก แต่พอเป็นหลานลุกซ์ไม่เข้มแข็งเลย ลุกซ์จะเดินไปที่อื่นเลย คนที่อยู่ด้วยกันก็จะช่วยพาหลานไปเล่นตรงนั้นตรงนี้ ฝั่งคุณแม่พี่แมนลุกซ์ก็เจอ เวลาไปเยี่ยมก็ไปด้วยกัน บางทีที่ทัณฑสถานถ้าญาติเยี่ยมเยอะ บางทีเราต้องแยกกัน บางทีลุกซ์ไปเยี่ยมพี่เตย แม่ป๋องก็ไปเยี่ยมพี่แมนในเวลาเดียวกัน ฝั่งผู้ชายเขาจะใช้เวลาสักพัก นานหน่อย แม่ป๋องเลยจะมาเยี่ยมพี่เตยน้อยหน่อย แต่ก็ส่งกำลังใจให้กันตลอด”
ลุกซ์ เล่าต่อว่า “ที่แม่ป๋องพูดว่าจะไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น ถ้าร้องไห้ก็ร้องไห้กับลุกซ์นี่แหละ เพราะเราไปด้วยกัน ต่างคนต่างเยี่ยม พอกลับมาเจอกัน อย่างลุกซ์หนักหน่อย เราเห็นแม่ป๋องทุกครั้ง เราร้องไห้มากเหมือนกัน หนูได้บอกแกไปล่าสุด กอดกันเลยว่าแม่หนูเสียใจมากเลยที่วันนี้แม่ในวัยนี้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วยังต้องทำอะไรแบบนี้อยู่ แม่ควรได้พักผ่อนแล้ว แม่ควรได้อยู่กับหลานโดยที่ไม่ต้องคิดมากอะไร แล้วทุกๆ ครั้งที่เราไป เราขับรถไปทัณฑสถาน แกต้องแยกไปทำภารกิจ บางทีแกต้องเดินไปคนเดียวเพราะมันไม่ทันจริงๆ เรารู้สึกสงสารมาก นึกถึงถ้าเป็นแม่เราคงลำบากเหมือนกันกับสภาพจิตใจแก เรื่องการเป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้เต็มที่แบบ 100% โดยเฉพาะเรื่องหลาน ก่อนหน้านี้ลุกซ์ไปเล่นกับเขาบ่อย เรารู้สึกว่าดูแลเขาได้ พี่เตยกับพี่แมนเจอเรื่องนี้มา 9 เดือน เรารู้สึกว่าเราได้สร้างความเข้มแข็ง อาจจะมีวันนี้เกิดขึ้น เรารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นหน้าที่เรา แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันทำไม่ได้ คือลุกซ์ตอนที่เป็นน้ารู้สึกสบายใจกว่า แล้วเขาก็รู้สึกสนุกกับเรามาก แต่พอวันหนึ่งสถานะเราเปลี่ยน ต้องมาเป็นผู้ปกครองหลาน เหมือนทั้งเขาและเราปรับตัวกันไม่ได้ สุดท้ายสายใยของพ่อแม่ก็คือพ่อแม่ เราเป็นน้า เราก็ทำหน้าที่เป็นน้า มันได้แค่นั้นจริงๆ นะ ทุกวันนี้ลุกซ์ยังรู้สึกเลย ลุกซ์ทำไม่ได้”
“ก่อนหน้านี้ลุกซ์ไม่ได้อยู่บ้านนี้ พอวันนี้ลุกซ์มาปุ๊บ เขาจะสงสัย เขาจะถามว่าเราขึ้นไปนอนห้องแม่เตยเหรอ เรามาทำอะไร เราจะบอกว่าน้ามานอนห้องแม่ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ชินกับการอยู่บ้านพี่เตยพี่แมน เพราะในบ้านเขายังมีรูปภาพเขาอยู่ ลงมาก็เจอหลาน มันเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด หนูไม่ได้พร้อมจริงๆ ณ ตอนนี้ก็ไม่พร้อมแต่มันต้องทำ แล้วคงต้องใช้เวลาคุ้นชินไปกับมัน พี่เตยเขาห่วงอย่างเดียวเลยคือหลานเท่านั้นเลย เขากลัวว่าหลานจะอยู่ได้ไหม ทุกครั้งเขาจะถามลุกซ์ก่อนเลยว่าหลานอยู่ได้ไหม น้องไหวไหม เมื่อเช้าก็ไปมา ก็ถามคำถามเดิม ลุกซ์ก็จะบอกว่าลุกซ์ไหวทุกวัน เหนื่อยทุกวันก็สู้ ความเหนื่อยมันมีอยู่แล้วแต่ว่าไม่เป็นไร ยินดีทำให้ เต็มใจทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องแฟนเราเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน ช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 4 พฤษภาคม ปกติเขาจะกลับมาบ้านตอน 6 โมง เขาเป็นวิศวกรไฟฟ้า บางวันเขาเหนื่อย เขาจะหลับ 2-3 ทุ่มตื่นแล้วจะออกมาวิ่ง แล้วจะมีบางวันวิ่งเสร็จแล้วหิว ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ไปกินบะหมี่แถวหมู่บ้านก็จะมี ซึ่งวันนั้นลุกซ์คุยกับเขา ลุกซ์หลับตอน 4 ทุ่มกว่าๆ บอกฝันดีอะไรเรียบร้อยแล้ว ได้รับเมสเสจที่มาเห็นตอนรู้ว่าเขาเข้าโรงพยาบาลแล้ว เขาส่งมาตอน 23.59 น. ของวันที่ 3 บอกว่าวิ่งเสร็จแล้วนะ หลังจากนั้น 00.40 น. เกือบตี 1 ญาติเขาโทรฯ มา พี่ลุกซ์ไปดูพี่หน่อย เขาอยู่โรงพยาบาลคุยไม่รู้เรื่องแล้ว ตอนแรกเราคิดว่ามิจฉาชีพหรือเปล่าที่โทรฯ ไปหาญาติ เพราะมันไม่ใช่เนเจอร์ที่เขาจะไปไหนเวลานั้น เราตกใจรีบแต่งตัวไปที่โรงพยาบาล สรุปคือเรื่องจริง เขาไม่ได้หมดสติเลย เขาโวยวายอยู่ในเตียง แต่เป็นการโวยวายที่ไม่ได้ลืมตา และไม่ได้โวยวายกับเราแล้ว”
“ตอนเห็นรับรู้ได้เลยมีอุบัติเหตุทางสมองเกิดขึ้น แกโดนมัดทั้งมือเท้าหมดเลย เพราะแกดิ้น แล้วพูดเรื่องงานทั้งหมดเลย เลือดก็มีไหลออกหู แต่ตรงสมองปิดแผลไว้แล้ว ที่เราตกใจเลยคือ ตอนนั้นคือรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่กับลุกซ์แล้วตั้งแต่ตอนนั้น เพราะเราไม่ได้พูดกันด้วยความเข้าใจกันแล้ว เราไม่เข้าใจเขาแล้ว บอกเขาสิ่งที่เขาขอเกี่ยวกับงานว่าทำให้แล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะมีช่วงเย็นลง แล้วอยู่ดีๆ ก็กลับขึ้นมาอีก หมอบอกสมองกระทบกระเทือน วันแรกหมอบอกว่ายังสบายใจได้นะ เพราะว่าคนไข้ที่เป็นอาการเกี่ยวกับสมองแล้วยังโวยวายได้แบบนี้ แปลว่ายังโอเค แต่ถ้าหมดสติ หลับไปแปลว่าหนัก เราก็เชื่อหมอ ฟังที่หมอพูดเราก็มีกำลังใจ คืนนั้นก็อยู่กับแกถึงตี 4 แล้วแกถูกส่งตัวไปที่ห้องพักด้านบนแล้วเราไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้แล้ว มาหาแกอีกทีตอนเที่ยงอีกวัน วันนั้นไม่ได้ผ่า มาผ่าอีกวันหนึ่ง แต่พอผ่าคุณหมอบอกว่ามีโอกาสที่จะรอด 3% หลังผ่าคุณหมอออกมาบอกว่าทำใจนะ สมองเขากระทบกระเทือนเยอะมาก เขาจะมีโอกาสกลับมาปกติแค่ 3% ตอนนั้นไม่ว่าหมอจะพูดอะไรหนูยังมีความหวังอยู่ 100% ว่าเขามา เรารู้แหละว่าวิทยาศาสตร์เขาพูดแบบนี้ แต่เราเชื่อปาฏิหาริย์ ลุกซ์มีความหวัง ไปเยี่ยมทุกวัน หลังจากนั้น 2-3 วันเลือดยังออกในสมองเยอะอยู่ หมอเลยผ่ารอบที่ 2 แต่พอหลังจากผ่ารอบแรกเสร็จแกก็หลับไปเลย หลังจากนั้นลุกซ์ไม่ได้ยินเสียงแกอีกเลย ผ่ารอบสองไปสักพักอาการก็ทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้น เท่าเดิม บางวันไม่ดี บางวันเท่าเดิม จนถึงวันสุดท้ายวันที่ 18 พฤษภาคม ลุกซ์ไปเยี่ยมแกปกติโดยที่ไม่ได้รับรู้ว่าแกแย่ลงหรืออะไร ไปถึงปุ๊บพยาบาลบอกว่าเขาแย่ลงนะ สารที่ได้รับมาๆ ลุกซ์หันไปถามหมอแค่คำเดียววันนี้ใช่ไหม เขาก็พยักหน้า เขาบอกเรามาว่าให้ไปแจ้งคุณพ่อคุณแม่แฟนนะ เดี๋ยวเขาจะต้องตัดสินใจเรื่องใช้เครื่องปั๊มหัวใจหรือเปล่า เพราะต้องเป็นพ่อแม่ที่ตัดสินใจ เราเลยกลับไปบอกพ่อกับแม่เขา ทุกคนเห็นตรงกันว่าปั๊มแน่นอนเพราะเราอยากให้โอกาสเขาได้ใช้ชีวิต พอ 6 โมงเย็นได้กลับมาที่โรงพยาบาลอีกที ได้เจอหมอได้พูดคุย แล้วเห็นสภาพที่แย่ลงของเขามากๆ พ่อแม่เขาเลยตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง คืนวันนั้นก็ค่อยๆ ไป”
“เรื่องการไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือเราทำทุกทางที่เพื่อนๆ หรือผู้ใหญ่ให้คำแนะนำให้ไป ก็ไปหมด ไปขอและทุกครั้งที่ขอ ขอให้กลับมา ไม่ว่าจะกลับมาเหมือนเดิม หรือไม่เหมือนเดิมก็ขอให้เขากลับมา วันนั้นช่วงเย็นหัวใจแกเต้น 130 กว่า แต่พยาบาลบอกว่า สมอง ปอด การหายใจ ความดันไม่ดีแล้ว ตอนนี้มีแต่หัวใจ เราก็ยังสงสัยอยู่เลยทำไมหัวใจยังเต้นอยู่ จนหมดเวลาเยี่ยมตอน 2 ทุ่ม หัวใจไม่หล่น พยาบาลเลยบอกว่าลองให้ยาความดันดู เผื่อถ้าความดันกลับมา เขาอาจจะกลับมาได้ดีขึ้น เราก็กลับบ้านกันไป ลุกซ์ถึงบ้านไม่ถึง 15 นาที ได้รับโทรศัพท์ให้กลับไปอีก ภาพที่เจอหัวใจก็ยังเต้น 130 อยู่ แต่พยาบาลบอกตอนที่เรากลับบ้าน หัวใจหล่นลงมาเหลือหลักสิบ แต่พอเรากลับไปก็เป็น 130 จนคุณพ่อคุณแม่มาบอกเราว่าต้องให้เขาไปแล้ว ต้องปล่อยเขาไป เพราะเขาทรมาน ก็เลยหาทุกอย่างที่ทุกคนไปมา แล้วบอกว่า เราไม่เป็นอะไรแล้วนะ ที่เคยไปขอกันมา เราปล่อยเขาไปได้แล้ว ไม่เป็นไร เราโอเค เรายกเลิกทุกคำบนบานสานกล่าว ทุกคำขอทุกอย่าง ให้เขาไปเจอทางสบายที่เขาควรจะได้เป็น ควรจะได้ไปดีกว่า พอถอนปุ๊บเริ่มลดลงแล้วทุกอย่างเลย เรื่องบ่นบานศาลกล่าว เรื่องเขาเป็นห่วง เรื่องงาน อย่างลุกซ์เองก็ได้พูดเรื่องครอบครัวลุกซ์ เรื่องหลาน เรื่องพี่เตย พี่แมน ไม่เป็นไรนะ พี่เตย พี่แมน ปลอดภัยแล้ว แล้วสุดท้ายสวดชินบัญชรกันเกือบจะจบแล้วแกไปก่อน ลุกซ์นั่งจ้องเลข ลดลงไปเหมือนในหนังเลยจนเป็นกราฟนิ่ง”
“คดีความล่าสุด คุณตำรวจมา เขาไม่ได้มารายงานตัว รอหมายจับจากคุณตำรวจ หมายเรียกเพิ่งออกไปใบที่ 2 ถ้าเขาไม่มาก็จะเปลี่ยนเป็นหมายจับ เรื่องเอกสารลุกซ์ต้องบอกว่าได้รับเกียรติจากคุณพ่อคุณแม่ ขอบคุณทั้งครอบครัวเลยที่เอ็นดูลุกซ์ จริงๆ ลุกซ์อยากทำอะไรมากกว่านี้เยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเดินเอกสารต่างๆ ในความรู้สึกเรา เรารักกันมา 12 ปี หลายๆ อย่างเราอยากจะทำแทนพ่อแม่ เราอยากจะรับผิดชอบด้วยกัน แต่ว่าด้วยกฎหมายบ้านเรายังไม่ได้พร้อมตรงนี้ ก็คาดหวังแล้วกันว่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง ลุกซ์อาจจะเป็นเคสตัวอย่างที่เป็นคู่รักที่เป็นแบบนี้ มันเป็นเรื่องจริง ลุกซ์เป็นกระบอกเสียงได้ว่าเราบริสุทธิ์ใจไม่แพ้ชายหญิงคู่ไหน เราอยากช่วยพ่อกับแม่เต็มที่มากๆ แต่หลายๆ อย่างเรายังทำไม่ได้ ขอโอกาสให้พวกเราได้ทำแล้วกันนะครับ”