เป็นข่าวล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด สำหรับ แวร์ โซว อดีตดาราชื่อดัง ก่อนหน้านี้ก็ขายปลาหมึกย่างกับลูกสาว จนกลายเป็นข่าวโด่งดัง แถมยังโพสต์ตัดพ้อไร้งาน อยากจะไปสมัครงานเด็กปั๊ม-เซเว่นฯ ซึ่งล่าสุด แวร์ โซว ออกมาเปิดใจในรายการโต๊ะหนูแหม่ม ถึงเรื่องราวชีวิตที่เจอมา

แวร์ โซว เผยว่า “เรื่องจะไปเป็นพนักงานเซเว่นฯ ตอนนั้นที่พูดไปเพราะเพ้อค่ะ ตอนนั้นรู้สึกไม่สบายใจ เพราะว่าถ้าจะมารับรอละครอย่างเดียวก็ไม่ได้ คิดว่ามันน่าจะได้เงินดี มองแล้วน่าจะได้เงินหลักหมื่น ซึ่งคิดว่าเราทำได้ แต่อาจจะงงเรื่องเทคโนโลยี เราก็โพสต์ของานบ่อยๆ เป็นระยะ เพราะงานละครที่เราได้รับ ส่วนมากแล้วจะไม่ได้รับเต็มเรื่อง จะได้รับเป็นตอนบ้าง สองถึงสี่ตอนบ้าง รับเชิญทั่วไปเสมือนได้เงินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเราก็มีรายจ่ายมีค่าใช้จ่าย และพอได้เงินมาเราก็ต้องมาใช้มาแบ่งเกรด มาหมุนในส่วนอื่นที่ต้องบริหารการเงินอีก พอมาถึงช่วงวิกฤติโควิด งานละครก็เงียบ มันก็เลยไม่มีงาน ซึ่งมันไม่ใช่เฉพาะเราคนเดียว ทีมงานทั้งกองถ่าย ได้รับผลกระทบหมด ความรู้สึกตอนนั้น เราอยากได้งาน เพราะถ้ามีงานก็มีเงิน ถ้ามีเงินเราก็มีชีวิตดำรงอยู่ได้ เลี้ยงลูกได้ ซึ่งภายหลังจากที่โพสต์ไป มันก็ไม่ได้มีงานมันเงียบ เพราะเราเข้าใจในส่วนสถานการณ์ที่เราพูดไป เราไม่ได้ประสบปัญหาคนเดียว แต่หลายคนก็มีปัญหาด้วย”

“ตอนแม่โพสต์หนูอยู่ด้วยทุกครั้งค่ะ เพราะแม่โพสต์เสร็จแล้วก็จะเอาไปให้ดู หนูคิดว่าพื้นที่ตรงนั้นก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เขามีไว้ระบายความเห็น หนูก็เลยไม่เคยห้าม ทุกครั้งที่แม่โพสต์ หนูรู้สึกว่ามันเหมือนการพูดไปมันก็ปกติอยู่แล้ว เพราะด้วยสถานการณ์สภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตการเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ เราปรึกษากันตลอด รู้สึกว่าการที่เราคุยกันตลอด มันเหมือนเป็นการใช้ความคิดรวมกัน ไม่จำเป็นที่เราต้องเครียดเป็นคนเดียว หรือคนหนึ่งเครียด อีกคนก็ต้องหาทางผ่อนคลาย แล้วเวลาเราเห็นเขาเครียด เราก็เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก็ยอมรับว่าเราเครียดเหมือนกัน แต่มันไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เราก็พยายามคิดพยายามฝืนตัวเอง พยายามเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็พูดและอธิบายให้แม่ฟังเสมอ เรื่องขายของ เราก็ขายของตั้งแต่ยังไม่มีลูก ขายเสื้อผ้าขายอะไรต่างๆ ตามตลาดนัดก็เคยขายมาแล้ว ซึ่งล่าสุดผันตัวมาขายปลาหมึก ซึ่งเวลาเราสั่งเราก็สั่งต้นทุนสูง แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้ขายแล้วเพราะมันเข้าเนื้อ และขอมาขายของออนไลน์ แต่ก็ปิดตัวไป เนื่องจากทุนเราไม่ไหว สายป่านเราไม่ยาวพอ ก็เลยหันมาขายบ๊วยรวมรส แต่ก็มาโดนโกงไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว และด้วยเราทำธุรกิจไม่เป็นด้วย ซึ่งเราก็พยายามต่อสู้มาโดยตลอด ขายตามตลาดนัดทำมาหมด ณ ตอนนี้ทุกวันนี้ ไม่มีรายได้เลยค่ะ ซึ่งก็เอาเงินเก็บมาใช้เอามาจัดสรรทั้งหมด และเงินเก็บก็เงินเก็บลูก ก็ต้องออกมาใช้จนมันค่อยๆ เริ่มหมดลง ซึ่งอาจจะใช้ได้อีกประมาณสองถึงสามเดือน แต่ช่วงนี้ก็มีคนติดต่อเข้ามา เป็นเจ้าของโรงงาน แล้วเขามีสินค้า 1,000 กว่าชนิดให้เราทดลอง เพื่อที่จะสามารถให้เรานำไปขายได้”