ถูกสนใจหนักมากหลังจากที่ ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดนสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ สส. แถมล่าสุดในวันอังคารที่ 22 สิงหาคม ก็จะมีการโหวตนายกฯ อย่างเป็นทางการอีกครั้ง งานนี้รายการคนดังนั่งเคลียร์ ช่อง 8 ชวนหนุ่มพิธา มาพูดคุยกันหลังจากที่เจ้าตัวหายเงียบมานาน พร้อมล้วงลึกที่พรรคเพื่อไทย ขอนัดเคลียร์ปัญหาใจที่ไม่ได้เดินต่อไปกับพรรคก้าวไกล และความสัมพันธ์กับนางเอก แอฟ ทักษอร ว่าตกลงทั้งคู่อยู่ในสถานะอะไรกันแน่

พิธา เผยว่า “เรื่องคนมองว่าผมปลุกมวลชนลงถนนแทนผม ไม่มีอย่างนั้นเลยครับ ไม่มีทั้งปลุกปั่น ไม่มีการสร้างมวลชนกดดันอะไรทั้งสิ้นนะครับ แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวา ก่อนลงเลือกตั้ง ก็ลงหาประชาชน ยกมือไหว้ขอคะแนนอย่างนู้นอย่างนี้ หลังเลือกตั้ง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ความคงเส้นคงวาต้องมี ก็ลงไปพบปะพี่น้องประชาชน ยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วก็ฟังปัญหาที่จะเกิดขึ้น แล้วเอามาส่งให้คนที่ยังไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่ก็ให้ สส. ได้ไปแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็ต้องช่วยทำงานต่อ ส่วนเรื่องปมหุ้นสื่อ itv อันนี้ของ itv ก็ต้องยืนยันคำเดิม อย่างที่เคยยืนยันเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ที่มาออกรายการของอาจารย์ ต้องขอบคุณอาจารย์มากเลย ตอนนั้นได้มีโอกาสชี้แจง คนดู 3 ล้านกว่าคนเลยใช่ไหมครับ ก็ได้บอกไปแล้วว่า มีกระบวนการที่จะปลุกให้ itv กลับมาเป็นสื่ออีกครั้ง เพื่อที่จะสกัดกั้นการเป็นนายกรัฐมนตรีของผม ตอนนี้ก็รู้สึกว่าชัดเจนมากขึ้น เมื่อวานก็มีบอกว่า 1.ยกคำร้องของเรื่อง itv ว่าไม่ได้เป็นสื่อ

2.มีงบไตรมาสที่ 2 ของ itv ออกมาว่าไม่ได้มีรายได้จากสื่อแต่อย่างใด เรื่องคนมองว่าผมโดนแกล้ง ก็คงจะเป็นทุกกระบวนการนะครับ ในการที่สกัดกั้นไม่ให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ในการที่จะกลั่นแกล้งกัน แต่ผมก็จะต้องบอกอย่างนี้ว่าไม่ได้กลัว ไม่ได้โกรธ แล้วก็ไม่ได้เกลียดด้วย เพราะว่าอันนี้เป็นบทละครที่เคยเล่นมาก่อนผม ก่อนพรรคอนาคตใหม่ก็มีแบบนี้ ตัดสิทธิ ยุบพรรคอะไรทั้งหลาย แต่สิ่งที่ผมได้มาจากกระบวนการหลังจากที่เราเคยคุยกันเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว นอกจากจะโดนกลั่นแกล้ง โดนสกัด โดนตะลุมบอน ไม่ได้รู้สึกโกรธ ไม่ได้รู้สึกเกลียด ไม่ได้รู้สึกกลัว ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวไง เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการเมืองไทย ผมว่าสิ่งที่ได้มาคือความกล้า กล้าที่จะฟังคนอื่นมาขึ้น กล้าที่จะถามดังๆ กับความอปกติของการเมืองไทยแบบนี้ที่มันเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แล้วก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติอยู่ดี ที่ได้เป็นผู้นำพรรค สู่การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ ที่มีคนไปใช้สิทธิมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย อันนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราได้พิสูจน์”

“ที่คนมองผมไม่โหวตเพื่อไทย ผมอยากจะบอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องว่าแคนดิเดตนายกฯ คนนี้ หรือไม่ใช่เป็นนโยบายพรรคนี้ แต่อย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องของหลักการ ตามที่พี่น้องประชาชนให้คะแนนเรามาก็เป็นไปตามนั้น เล่าให้ฟังถึงเหตุและผลว่าทำไมเราถึงไปต่อด้วยกันไม่ได้ พอไปจับเอาพรรคอื่นมาก็มีเงื่อนไขว่าไม่เอาพรรคอันดับ 1 พรรคก้าวไกลอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้พูดถึงมาตรา 112 อย่างใด อะไรที่เป็นเงื่อนไขแล้ว ตอนนี้เจาะจงที่พรรคแล้ว ไม่ได้เป็นเงื่อนไขอย่างที่ได้พูดคุยกัน ก็รับฟังครับ แล้วฝั่งเราก็ได้ชี้แจงกลับไปว่า ต้องฟังมติ สส. เหมือนอย่างที่เพื่อไทยเคยต้องฟังมติ สส. ตอนประธานสภาเช่นเดียวกัน แล้วให้ สส.ได้มีสิทธิพูดได้พูดจา เพราะพรรคเรามีความเป็นประชาธิปไตยสูง ก็ต้องฟังทั้ง สส. สส.ก็บอกตัดสินใจไม่ได้ ก็ต้องไปที่พื้นที่ แล้วก็ฟังเจ้าของเสียงที่แท้จริงก็คือราษฎร แล้วก็เอาประมวลกลับมา ก็บอกว่าคงฟังกันอย่างเดียว คงไม่สามารถผูกมัดอะไรกันได้ แล้วก็ทางผมจะมีประชุม สส. แล้วก็คงจะตัดสินใจตามนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ ก็คือเมื่อวานที่มีมติออกมา”

“กับคุณแอฟ ไม่ได้มีความเป็นจริงอย่างใดครับ ความจริงเป็นแบบนี้คือ เป็นเพื่อนกันครับ ต้องใช้โอกาสนี้อธิบายกับพี่น้องประชาชนว่า เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันครับ”