นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมียอดขายน้ำมันที่ 500,000 ล้านบาท ภายในปี 67 จากปีนี้คาดว่ามียอดขาย 380,000 ล้านบาท โดยได้ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าซื้อบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) และจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันยืนยันว่าไม่มีแผนนำหุ้นเอสโซ่ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะ 1 ปีข้างหน้าเนื่องจากมองว่าการถือหุ้นเอสโซ่ในสัดส่วน 65.99% ถือว่าเพียงพอแล้ว
ล่าสุดบริษัทได้ดำเนินการชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญของบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำนวน 2,283,750,000 หุ้นหรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) เสร็จสิ้นในราคาประมาณ 9.8986 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ บางจากฯ จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของเอสโซ่(ประเทศไทย) อีก 34.01% โดยกำหนดระยะเวลาทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ย. ถึง 12 ต.ค.66 จากนั้นจะทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เพื่อเข้ามาอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทบางจาก และปิดสมุดผู้ถือหุ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในช่วงกลางเดือนพ.ย.66

ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าธุรกรรมครั้งนี้จะสามารถสร้างธุรกิจพลังงานจากศักยภาพที่เกื้อหนุนกัน ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น และยังช่วยให้มีกำไรก่อนหักภาษี เพิ่มขึ้นในประเทศอีกนับพันล้านบาทต่อปี และภายหลังจากการเข้าซื้อฯ บริษัทฯ จะได้รับโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ 832 แห่ง รวมกับเครือข่ายคลังน้ำมัน 2 แห่ง ที่ศรีราชาและลำปาง, หุ้นบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด 21% และหุ้นบมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ 7.06%
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าจะช่วยให้ธุรกิจในกลุ่มบริษัทบางจาก ทั้งธุรกิจโรงกลั่นและค้าน้ำมัน กำลังการกลั่นรวมโรงกลั่นบางจาก พระโขนง และโรงกลั่นบางจาก ศรีราชา เกือบ 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ,ธุรกิจการตลาด เครือข่ายสถานีบริการรวมกว่า 2,200 แห่งภายในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 2,250 แห่งในปี 67 โดยเครือข่ายสถานีบริการของเอสโซ่ผลิตภัณฑ์และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จะเข้ามาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บางจาก โดยจำนวนสถานีบริการน้ำมันที่เอสโซ่เป็นเจ้าของเอง ราว 280 แห่ง จะเปลี่ยนเป็นบางจากทันที ซึ่งจะเริ่มทยอยดำเนินการตั้งแต่เดือนก.ย.นี้

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 200,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนธุรกิจในช่วง 5 ปี (66-70) โดยส่วนใหญ่ใช้ภายในปี 66 กว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจขุดเจาะเเละสำรวจแหล่งปิโตรเลียมราว30%, ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานราว 30%, ใช้รองรับการลงทุนดีลเอสโซ่ และโรงกลั่นที่บริษัทมีเเผนจะหาเพิ่มอีก 1 แห่ง ราว 30% และอีก 10% ใช้รองรับการขยายธุรกิจบริษัทย่อย ทั้งบมจ.บีซีพีจี และบมจ.บีบีจีไอ