เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ตนได้ติดตามการขับเคลื่อนต่อยอดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active learning ด้วยการบูรณาการแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นกับหลักสูตรสถานศึกษา ของโรงเรียนในสังกัด สพป.อุบลราชธานี เขต 4 ณ ห้องประชุมจามจุรีศรีนาเยีย โรงเรียนชุมชนบ้านนาเยีย จ.อุบลราชธานี โดยมีผู้เข้าร่วมงาน จำนวน 300 คน ประกอบด้วย คณะผู้บริหารการศึกษา ได้แก่ ผอ.สพป.อุบลราชธานี เขต 4 ผอ.สพป.อุบลราชธานี เขต 2 ปฏิบัติราชการแทน ผอ.สพป.อุบลราชธานี เขต 5 รอง ผอ.สพม.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ รอง ผอ.สพป.อุบลราชธานี เขต 1 เขต 2 เขต 4 และเขต 5 ผอ.กลุ่มส่งเสริมและศึกษานิเทศก์ ทุกเขตพื้นที่การศึกษา ในจังหวัดอุบลราชธานี คณะผู้อำนวยการสถานศึกษา จาก 139 โรงเรียน ในสังกัด สพป.อุบลราชธานี เขต 4 ครูและนักเรียนที่มาจัดนิทรรศการ จำนวน 18 โรงเรียน รวมทั้งคณะทำงาน One Team สพฐ. และทีมวิชาการรองเลขาธิการ กพฐ. ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช
.
การดำเนินงานในครั้งนี้เป็นติดตามการต่อยอด Active Learning ด้วยการบูรณาการแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นกับหลักสูตรสถานศึกษา โดยผู้อำนวยการหนุนเสริมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 รวมถึงเป็นการแสดงถึงการขยายเครือข่ายการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีโรงเรียนที่ร่วมนำเสนอผลงานเพื่อถอดบทเรียนการขับเคลื่อนต่อยอดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก Active learning ด้วยการบูรณาการแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นกับหลักสูตรสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 18 โรงเรียน
.
นางเกศทิพย์ ศุภวานิช กล่าวว่า จากการจัดงานวันนี้ทำให้ได้เห็นการร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่าย โดยผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้นำทางวิชาการอยู่แล้ว ต้องเป็นผู้นำครูให้รวมองค์ความรู้แต่ละวิชา มาจัดการเรียนรู้ร่วมกัน ให้เกิดเป็นต้นแบบที่ส่งเสริมภาวะผู้นำทางวิชาการให้ครูต่อไป และควรเพิ่มเติมความลึกของเนื้อหาให้ต่อยอดได้และนำไปสู่การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ไปสู่เป้าหมายตามความถนัดและความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ยังควรเพิ่มเวทีให้เด็กได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลอื่น เพื่อฝึกฝนสมรรถนะการสื่อสาร มารยาท บุคลิกภาพและความมั่นใจในตนเอง พร้อมทั้งเน้นการบูรณาการการจัดการเรียนรู้ การวัดประเมินผล เพื่อลดเวลาเรียนที่ต้องสอนแยกตัวชี้วัด “เรียนน้อยแต่ได้มาก” ซึ่งหากมีการบูรณาการรวมรายวิชาแล้วมีเวลาเหลือ เราต้องเติมทักษะโลกดิจิทัลให้นักเรียน อาทิ โรงเรียนบ้านดอนยู จากการเรียนรู้แบบบูรณาการแล้ว นักเรียนใช้เวลาที่เหลือในการสร้างสรรค์เกมจำลองจากแหล่งเรียนรู้ได้อย่างน่าสนใจ รวมถึงโครงงานและกิจกรรมต่างๆ ที่นักเรียนสามารถเล่าได้ว่า ได้อะไรจากการลงแหล่งเรียนรู้ได้อย่างฉะฉานและมีความคิดที่รอบด้านจากการตอบคำถาม ดังนั้น ต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการ และส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้นอกห้องเรียนตามบริบทของตนเอง จากนั้นเด็กจะเกิดเรียนรู้อย่างมีคุณภาพในทุกมิติ รวมถึงรักและภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง
.
นางเกศทิพย์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่น่าชื่นชมคือ สพป. อุบลราชธานี เขต 4 ที่ได้เริ่มต้นขับเคลื่อนจากโรงเรียนขยายโอกาส จำนวน 27 โรงเรียน แล้วขยายผลสู่โรงเรียนทั้งหมด 139 โรงเรียนในสังกัด ซึ่งแหล่งเรียนรู้ที่โรงเรียนนำมาใช้มีความหลากหลายทั้งแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และบุคคลสำคัญที่เป็นภูมิปัญญาในท้องถิ่น โดยครูร่วมกันบูรณาการตัวชี้วัดรายวิชาพื้นฐานมาออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกมุ่งเน้นการคิด การแก้ปัญหา การสื่อสาร การวัดประเมินผล หลักฐานการเรียนรู้ชิ้นเดียว ลดภาระนักเรียนและครู และที่สำคัญคือ การให้อิสระนักเรียนในการเลือกแหล่งเรียนรู้ตามความถนัดและความสนใจ ซึ่งทำให้นักเรียนมีความสุข และเรียนรู้อย่างมีความหมาย เกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตนเอง และเชื่อมโยงความรู้สู่การปรับใช้ในชีวิตจริง ทั้งยังก่อให้เกิดความรักความผูกพันระหว่างเด็กนักเรียนและผู้สูงอายุซึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้านผู้ถ่ายทอดความรู้ด้วยความสุขและความภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน
.
“การดำเนินการครั้งนี้ มีความชัดเจนทั้งในเรื่องหลักสูตร การบูรณาการ การวิเคราะห์ การสร้างเครือข่ายใกล้โรงเรียนมาเป็นแหล่งเรียนรู้ การวัดประเมินผลที่มาจากครูที่จัดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย การใช้แหล่งเรียนรู้จะดึงให้เครือข่ายกลายเป็นรั้วที่สร้างความปลอดภัยให้นักเรียน ซึ่งจะได้นักเรียนแบบใหม่ที่มีชีวิตชีวา สามารถเล่าและถ่ายทอดให้ผู้ปกครองได้ เป็นเด็กที่ผู้ปกครองพึ่งได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การดำเนินการของโรงเรียนเกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารจัดการของ นายสุบรรณ คับพวง ผอ. โรงเรียนชุมชนบ้านนาเยีย ซึ่งเป็นทีม ผอ.หนุนเสริม จากการเริ่มต้นที่โรงเรียนที่รับผิดชอบไปสู่โรงเรียนรอบข้าง ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือ นักเรียนมีความภูมิใจที่ได้เรียนกับพ่อใหญ่แม่ใหญ่ และพ่อใหญ่แม่ใหญ่นั้นก็มีความภูมิใจที่ได้บอกเล่าและถ่ายทอดเรื่องราวจากประสบการณ์ของตนเอง เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของนักเรียนและชุมชน ซึ่งช่วยพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนให้เป็นผู้ที่มีความรักและภาคภูมิใจทั้งต่อตนเอง ท้องถิ่น และประเทศชาติ ซึ่งจะกลายเป็นพลเมืองคุณภาพของสังคมต่อไปในอนาคต” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว