เหตุใดความสูญเสียนี้จึงเกิดขึ้น ทั้งที่ไม่มีประวัติความรุนแรง และจะมีสัญญาณใดที่ทำให้คนรอบข้างสามารถช่วยเหลือ หรือหยุดยั้งได้ก่อนสาย 

“ทีมข่าวอาชญากรรม” ชวนสะท้อนมุมมองกับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะนักอาชญาวิทยา วิเคราะห์เหตุที่คนๆ หนึ่ง สามารถก่อความรุนแรงในภาพกว้างว่าอาจมีได้หลายปัจจัย อาทิ

   1.ความเครียด จากปัญหาส่วนตัว หนี้สิน หน้าที่การงาน เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกนึกคิด การตัดสินใจที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งที่ละเมิดกฎหมาย ประกอบกับหากมีการใช้สารเสพติด หรือดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้มีสติ ความเป็นเหตุเป็นผลน้อยลง สรุปคือหากมีการใช้สารกระตุ้นจำพวกนี้ ก็จะทำให้คนๆหนึ่งที่มีความเครียดด้วย ขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ และกระทำอะไรที่แตกต่างจาก “บรรทัดฐาน” ของสังคม เช่น การละเมิดกฎหมาย การก่ออาชญากรรมด้วยความรุนแรง

2.ความกดดันทางสังคม คนเราอาจไม่มีจิตใจเป็นอาชญากรชั่วร้ายมาก่อน แต่มีความกดดันอยากมี อยากได้ อยากเป็น เช่น ต้องการหาเงินค่าเทอม หาค่านมลูก หาเงินไปรักษาพ่อแม่ ถือเป็นความกดดันทางสังคม หรือความอยากมี อยากได้ อยากเป็นเหมือนคนอื่น แต่รูปแบบจะไปถึงไม่สามารถทำโดยปกติ ทำให้คนๆ หนึ่งก่ออาชญากรรม เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ค้ายาเสพติด  

3.ความโกรธ  ความแค้น ชิงชังสะสม 4.ความรัก ความหึงหวง 5.ความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง อาจเป็นความเชื่อทางการเมืองที่ผิดทาง หรือบางความเชื่อทางศาสนาที่ไม่ถูกต้อง   

สำหรับข้อสังเกตความผิดปกติที่อาจรับรู้ได้นั้น โดยหลักการคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว จะมีแนวโน้มกระทำต่อผู้อื่นด้วยความรุนแรง ใช้ความรุนแรงตอบโต้สถานการณ์หรือสิ่งเร้า แต่คนบางคนที่ไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าว การแสดงออกอารมณ์ฉุนเฉียวจำพวกนั้น อาจจะต้องไปดูปัจจัยอื่นที่ทำให้ตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง พร้อมชี้สัญญาณบ่งบอกถึงคนใกล้ชิด เช่น ปกติเป็นคนพูดคุย สนุกสนาน แต่จู่ๆไม่พูด บึ้งตึง เครียด ไม่พูดมา 2-3 วัน แสดงว่าอาจมีอะไรในใจ มีความเครียด ความกดดันเกิดขึ้น 

จากสถิติการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การฆาตกรรมแบบนี้ เพราะการฆ่าตัวตายโดยทั่วไป ผู้ก่อเหตุมักเปรยกับคนใกล้ชิด หรือมักจะมีการแสดงออกบางอย่างให้รู้ เช่น ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม เจอกันใหม่ในภพหน้า ซึ่งบางครั้งเป็นการโพสต์ในโลกออนไลน์ ถือเป็นสัญญาณที่น่ากลัว   

หรือหากไปเปรยกับคนใกล้ตัวว่า หากจะก่อเหตุฆ่าตัวตาย เขาเป็นห่วง เขาอาจจะเอาไปทั้งหมด คำว่าเอาไปทั้งหมดหมายความว่า จะทำร้ายสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นภรรยา ลูก  “ญาติ ครอบครัว คนใกล้ชิด จะต้องจับสัญญาณบางอย่างของคนๆ หนึ่งที่เปลี่ยนไป เราเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์ ซึ่งมีความสำคัญมากๆ ที่ทำให้เราแตกต่างจากหุ่นยนต์ ปัจจุบันไม่มีเครื่องมืออะไรวัดความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ได้ 100% แม้กระทั่งนักจิตวิทยา จิตแพทย์ ก็ต้องใช้การวินิจฉัยเบื้องต้น ต้องใช้เครื่องมือทดสอบ แต่สำคัญที่สุดคือคนใกล้ตัว การมีปฏิสัมพันธ์ การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ควรสังเกตพฤติกรรมซึ่งกันและกันตลอดเวลา” 

สำหรับทิศทางอาชญากรรมในครอบครัวที่น่ากังวล จากการติดตามข่าวระยะหลังมักเหมือนพฤติกรรมเลียนแบบ ที่มีการฆาตกรรมที่ไม่ใช่เฉพาะตัวเองเสียชีวิตคนเดียว แต่ไปทำร้ายสมาชิกในครอบครัวด้วย จุดนี้น่ากังวลเพราะสะท้อนให้เห็นว่าในปัจจุบันคนใช้ชีวิตขาดความเป็นเหตุเป็นผล 

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ฝากข้อเสนอน่าสนใจถึงสังคมในการสอดส่อง ลดเหตุร้ายซ้ำรอยว่า คงไม่อาจห้ามได้ 100% แต่สามารถลดโอกาสเกิดให้เหลือน้อยที่สุด  คือต้องลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อันดับแรกคือ สมาชิกในครอบครัวต้องเอาใจใส่กันมากขึ้น การดูแลพฤติกรรม การใช้ชีวิต มีการปรึกษาพูดคุยกันมากขึ้น หากเกิดปัญหาบางอย่างในครอบครัว 

ถัดมาคือนโยบายของรัฐที่ต้องทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก ที่คนถูกหลอกในลักษณะแบบนี้ และเหยื่อเองก็ตัดสินใจกระทำผิด มองว่ารัฐน่าจะมีช่องทางให้แจ้ง หรือให้คำปรึกษา ยกตัวอย่าง สายด่วนสุขภาพจิต นอกจากคำปรึกษาทางด้านจิตแล้ว ควรให้คำปรึกษาเรื่องเหล่านี้ด้วยได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลให้เกิดความเครียด ดีกว่าให้คนที่ประสบปัญหาไปแก้ปัญหาในปลายทาง ภาครัฐต้องมีนโยบายเชิงรุก 

“พอดีที่เรามีรัฐบาลใหม่ มีรัฐมนตรีใหม่ที่จะมารับผิดชอบเรื่องนี้ จึงอยากฝากว่า นอกจากเศรษฐกิจปากท้อง อยากให้มองเรื่องความปลอดภัยสาธารณะ เพราะเกิดขึ้นทุกวัน แนวโน้มคนตกเป็นเหยื่อ ประกอบกับมีการใช้ความรุนแรงโดยตรงกับเหยื่อ ทั้งตัวเหยื่อเองนอกจากตกเป็นเหยื่อแล้วก็เกิดความเครียด จึงไปกระทำต่อกับคนอื่นในครอบครัวด้วย”  

ดังนั้น มองว่าเรื่องนี้ส่งผลถึงปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก และเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรด้วย.