สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ว่านายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ พบหารือกับพล.อ.เซอร์เก ชอยกู รมว.กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระหว่างการลงพื้นที่ฐานทัพอากาศ คนีวิชี ใกล้กับเมืองวลาดิวอสตอค ทางตะวันออกของรัสเซีย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


รายงานโดยสำนักข่าวกลางเกาหลี ( เคซีเอ็นเอ ) กระบอกเสียงของรัฐบาลเปียงยาง ระบุว่า ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและรมว.กระทรวงกลาโหมรัสเซีย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น “ที่สร้างสรรค์และสามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ” เพื่อยกระดับความร่วมมือ การประสานงาน และขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยน ด้านความมั่นคงและกลาโหม


ทั้งนี้ ก่อนการหารือ พล.อ.ชอยกูนำผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ตามด้วยการชมเครื่องบินขับไล่มิก-31 ซึ่งมีศักยภาพติดตั้งระบบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงรุ่น “คินซาล”

นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ชมเครื่องบินขับไล่ลำหนึ่งของรัสเซียอย่างใกล้ชิด ระหว่างการลงพื้นที่ฐานทัพ คนีวิชี ใกล้กับเมืองวลาดิวอสตอค


นอกจากนี้ พล.อ.ชอยกูยังนำคิมโดยสารเรือฟริเกต “จอมพลชาพอชนิคอฟ” ซึ่งผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือรับฟังการอธิบายเกี่ยวกับ ประสิทธิภาพของระบบขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำ จากพล.ร.อ.นิโคไล เยฟเมนอฟ ผู้บัญชาการทหารเรือรัสเซีย


การเยือนรัสเซียของคิมในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2562 ได้รับการจับตาอย่างใกล้ชิดจากสหรัฐ ซึ่งเชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศจะยกระดับความร่วมมือด้านอาวุธ โดยรัสเซียจะนำอาวุธของเกาหลีเหนือไปใช้ในสงครามยูเครน แลกกับการที่รัฐบาลเปียงยางจะได้รับความสนับสนุนด้านมนุษยธรรมจากรัฐบาลมอสโก


กระนั้น นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ยืนยันว่า “ไม่มีการลงนามร่วมกันในข้อตกลงฉบับใดทั้งสิ้น” และ “ไม่มีแผนลงนามร่วมกันในข้อตกลงฉบับใด” ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเตือน เกี่ยวกับการใช้มาตรการคว่ำบาตร หากทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงร่วมกันจริง


อนึ่ง ทำเนียบเครมลินยืนยันด้วยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งต้อนรับผู้นำเกาหลีเหนือ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตอบรับคำเชิญของคิม ที่จะเยือนกรุงเปียงยางอย่างเป็นทางการ “เมื่อถึงช่วงเวลาเหมาะสม” ซึ่งจะเป็นการเดินทางไปยังประเทศแห่งนี้เป็นครั้งที่สองของผู้นำรัสเซีย ต่อจากการเยือนเมื่อปี 2543 และพบหารือกับนายคิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ณ เวลานั้น.

เครดิตภาพ : AFP