วันนี้ (21 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จะจัดประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช สัญจร ที่ จ.นครพนม โดยมีวาระที่สำคัญ อาทิ การพิจารณาเรื่องดาวเทียมไทยคม 4 ที่กำลังจะหมดอายุทางวิศวกรรม, การพิจารณาร่างโครงสร้าง กสทช. การเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นเลขาธิการ กสทช.คนใหม่ เป็นต้น ซึ่งมีรายงานว่า บอร์ด กสทช. 4 คน คือ พล.อ.ท.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ , น.ส.พิรงรอง รามสูต , นายศุภัช ศุภชลาศัย และ นายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ไม่ได้เดินทางไปที่ จ.นครพนม แต่จะร่วมประชุมผ่านออนไลน์ จาก สำนักงาน กสทช. แทน
สำหรับวาระการเสนอชื่อเลขาธิการ กสทช. ได้มีการบรรจุในระเบียบวาระที่ 4.35 โดยมีการคาดการณ์ว่า นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. จะเสนอชื่อ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. สายงานยุทธศาสตร์และกิจการองค์กร เพื่อให้ที่ประชุมลงมติเห็นชอบให้เป็นเลขาธิการ กสทช.คนใหม่ ทั้งที่ในเอกสารวาระการประชุม ประธาน กสทช. ไม่มีการระบุรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามมีประเด็นที่ต้องจับตา คือ กรณีการฟ้องร้องของนายไตรรัตน์ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยนายไตรรัตน์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรรมการ กสทช.จำนวน 4 คน ประกอบด้วย พล.อ.ท.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ เป็นจำเลยที่ 1, น.ส.พิรงรอง รามสูต เป็นจำเลยที่ 2, นายศุภัช ศุภชลาศัย เป็นจำเลยที่ 3, นายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ เป็นจำเลยที่ 4 และนายภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. สายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ เป็นจำเลยที่ 5 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
โดยต้นเหตุที่มีการฟ้องร้องมาจากจากกรณีการประชุม กสทช. วันที่ 23 ม.ค.66 กรรมการ กสทช.ทั้ง 4 คน ลงมติเสียงข้างมากปลด นายไตรรัตน์ จากรักษาการเลขาธิการ กสทช. จนกว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอนุมัติเงินเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) สนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก จำนวน 600 ล้านบาท ที่ นายไตรรัตน์ ถูกตั้งกรรมกาาสอบจะเสร็จสิ้น พร้อมมีมติให้ตั้ง นายภูมิศิษฐ์ มหาเวศน์ศิริ เป็น รักษาการเลขาธิการ กสทช.แทน
โดย นายไตรรัตน์ บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันมีมติปลดโจทก์ออกจากตำแหน่ง โดยไม่มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้ แล้วเผยแพร่ข่าวแก่สื่อมวลชนทันที ทำให้โจทก์เสียหาย จากนั้นก็ตั้งจำเลยที่ 5 เป็นรักษาการเลขาธิการ กสทช.แทน ทำให้โจทก์เสียหายกระทบต่อการทำงาน โดยศาลรับคดีไว้เพื่อตรวจคำฟ้อง และให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในวันที่ 3 ต.ค.66
แหล่งข่าว จาก กสทช. กล่าวว่า การที่ นายไตรรัตน์ ยื่นฟ้องกรรมการ กสทช. 4 คน เป็นคดีอาญา อาจจะส่งผลให้กรรมการ กสทช.ทั้ง 4 คน มีลักษณะเป็นคู่กรณีกับ นายไตรรัตน์ ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 13 และหากมีการพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ที่คาดว่า นายไตรรัตน์ จะได้รับการเสนอชื่อ

ซึ่งหากมีการหยิบยกประเด็น การเป็นคู่กรณี ก็อาจทำให้กรรมการ กสทช.ทั้ง 4 คน ต้องหยุดการพิจารณาตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และอาจต้องมีการพิจารณาว่า จะต้องออกจากที่ประชุม ส่งผลให้องค์ประชุม ของ บอร์ด กสทช.จะเหลือเพียงประธาน กสทช. และกรรมการ กสทช. รวม 3 คน ให้ความเห็นชอบผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ซึ่งหากเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ว่า จะมีการเสนอชื่อนายไตรรัตน์ นั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการลงมติเห็นชอบให้ นายไตรรัตน์ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช.คนใหม่
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กระบวนการสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.ครั้งนี้ มีการตั้งข้อสงสัย จาก กสทช.บางคนว่าการดำเนินการทั้งหมดไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย เพราะประธาน กสทช.มีการใช้อำนาจคนเดียว ไม่เปิดให้ กสทช.ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงการลงมติ และยังมีข่าวว่ามีผู้สมัครบางรายที่ไม่ได้รับเลือกและไม่เห็นด้วยกับผลการสรรหาเลขาฯ กสทช.ครั้งนี้อาจจะดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล.