เมื่อเวลา 11.15น. วันที่ 5 ต.ค.66 ที่อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการกทม.ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. พร้อมด้วย น.ส.ทวิดา กมลเวชช นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. ร่วมกันแถลงผลการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร โดยนายชัชชาติ กล่าวว่า ขณะนี้เป็นการเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ ซึ่งกทม.จะนำTraffy Fondue มาใช้ในการประเมินการปฏิบัติของสำนักงานเขตให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเชื่อว่า Traffy Fondue เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ต่อไปจะให้มีการประเมิน Traffy Fondue ของแต่ละเขตและนำข้อมูลมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินเงินรางวัลในอนาคต เพื่อให้ทุกคนตั้งใจทำงานให้ดีขึ้น โดยในที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กำหนดให้Traffy Fondue เป็นตัวชี้วัดเฉพาะสำหรับเขต โดยให้มีการประกาศหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมเพื่อให้หน่วยงานได้เตรียมพร้อมและใช้ในการวางแผนดำเนินการต่อไป
นายชัชชาติกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังได้มีการพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้างพารากอนเมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมาโดยมีเรื่องสำคัญ 3เรื่องด้วยกัน คือ การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ผู้บริหารต้องรู้ข้อมูล หลักการคือให้ผอ.เขตในพื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นผู้อำนวยการเหตุ ถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่เกี่ยวกับกทม.เช่น เรื่องอาชญากรรม หรือ เรื่องอื่นก็ตาม ผอ.เขตจะต้องเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเหตุที่เกิดขึ้น เพราะเป็นคนในพื้นที่จะรู้จักตำรวจ รู้จักข้อมูลมากกว่า ยกตัวอย่างเหตุที่พารากอน ผอ.เขตปทุมวันก็ต้องตั้งมั่นในพื้นที่ ประสานงานหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องและรายงานให้ผู้บริหารทราบ
2.ระบบการเตือนภัยซึ่งมีคนพูดถึงกันเยอะโดยสิ่งที่เราจะทำในเบื้องต้นและอยู่ในขอบเขตของกทม.ก็คือ Line Alert ก็ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม.ไปดูว่าเราสามารถเพิ่มฟีเจอร์(Feature)ในการแจ้งเตือนเข้าไปได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันกทม.ได้ใช้ระบบนี้แจ้งเตือนเรื่องฝุ่นPM2.5 ซึ่งทำออกมาได้ผลดีอาจจะเติมเรื่องน้ำท่วมเพิ่มเติมและถ้าเราจะเพิ่มเรื่องเหตุการณ์ต่างๆเข้าไปด้วยได้หรือไม่ 2.ปรับปรุงTraffy Fondue ซึ่งเรามีโครงการอยู่แล้วที่จะทำการสื่อสารข้อมูลต่างๆให้เพิ่มขึ้น ก็จะให้ผู้พัฒนาระบบ Traffy Fondue พัฒนาแอพให้ภายใน7วัน เพื่อให้แจ้งเหตุไปสู่ผู้ที่จะรับแจ้งเหตุได้ ซึ่งตัวแอพเรามีอยู่แล้วจึงไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไร 3.การตั้งระบบเตือนก็จะมี 2 ส่วนคือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)ดูแล และ กสทช. ทั้งนี้การแจ้งเหตุก็มีความละเอียดอ่อนทั้งเรื่องความถูกต้องของข้อมูลที่ต้องสื่อสารออกไป การควบคุมสถานการณ์ระหว่างเกิดเหตุด้วยว่าจะให้แจ้งข้อมูลแค่ไหน ดังนั้นจะต้องมีการหาเรื่องกันอีกครั้ง

น.ส.ทวิดา กล่าวเสริมว่า สิ่งที่เราคุยกันยกตัวอย่างเมื่อเราอยู่ในอาคารหรือพื้นที่ใดก็ควรมีการแจ้งเตือนในพื้นที่นั้น เบื้องต้นทราบว่า ทางปภ.ได้มีการจัดทำงบประมาณเรื่องระบบการแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่(Cell Broadcast)ในพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสาธารณภัยต่างๆเช่นภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ ซึ่งมันจะมี Protocalระบบแจ้งเตือนเข้ามา ในส่วน Emergency อื่นๆก็จะต้องมีการประสานให้หน่วยงานความมั่นคง หน่วยงานตำรวจ หน่วยงานอื่นหรือเจ้าของอาคารหรือพื้นที่สำคัญเข้ามาอยู่ในProtocalหรือระบบแจ้งเตือนนี้ด้วยก็จะมีการคุยรายละเอียดกับ ปภ.อีกครั้ง อีกส่วนได้ติดต่อไปยัง กสทช.เพราะก่อนหน้านี้เคยคุยกันไปบ้างหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ตุรกีและที่จ.เชียงใหม่ จ.ลำปางที่ผ่านมาว่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างไรคาดว่าจะเข้าไปพูดคุยกันในรายละเอียดได้ในสัปดาห์หน้า
นายชัชชาติ กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 3 การดูแลที่ต้นเหตุของปัญหา ปัจจุบันเรามีประชาชน เด็ก เยาวชนมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตค่อนข้างมาก แผนของกทม.ปรับ 2 ส่วนคือการให้บริการเรื่องสุขภาพจิต ซึ่งกทม.มีกำลังค่อนข้างจำกัดทั้งสำนักอนามัยและสำนักการแพทย์ ที่มีอัตราจิตแพทย์ค่อนข้างน้อย ขณะเดียวกันผู้ป่วยก็ไม่อยากเข้ามาที่ส่วนกลางหรือมาอยู่โรงพยาบาล ดังนั้นการให้คำแนะนำต่างๆอาจต้องกระจายลงไปยังศูนย์บริการสาธารณสุข หรือให้ความรู้แก่อาสาสมัครสาธารณสุข(อสส.)ให้มากขึ้น รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจแก่โรงเรียนด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่รอให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น
ด้าน นายศานนท์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตก็เป็นปัญหาที่คนรุ่นใหม่เผชิญอยู่ สำนักการศึกษาเคยนำแอพตัวหนึ่งเข้าไปที่รร.กทม. พบว่า พอเป็นการส่งข้อมูลจากคุณครูจะไม่มีความเชื่อมั่นเชื่อใจ แต่จะเชื่อเพื่อนและเชื่อเครือข่ายมากกว่า เราจะต้องเชื่อมโยงเครือข่ายเหล่านี้ โดยวันอาทิตย์นี้จะมีฟอรั่มใหญ่ โดยมีเครือข่ายด้านสุขภาพจิตมาร่วมด้วยพูดคุย หลังจากนี้คงต้องดูว่าภาครัฐจะช่วยเสริมภาคประชาสังคมที่เข้ามาช่วยได้อย่างไรเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาเรืองนี้อย่างยั่งยืน ส่วนเรื่องการประเมินผลการเรียนของนักเรียนนั้นคาดว่าจะมีการปรับรูปแบบในการประเมินด้วยไม่ใช่แค่วัดเกี่ยวกับผลการเรียนดีอย่างเดียว อาจจะมีการประเมินเรื่องทักษะอื่นเสริมเข้าไปด้วยก็จะทำให้เด็กรู้สึกมีชัยชนะเป็นของตัวเองและไม่มีการเปรียบเทียบด้วย
ทั้งนี้ในวันที่ 8 ต.ค. จะมีการจัดงาน Better Mind Better Bangkok 2023 ขึ้น ณ สามย่าน มิตรทาวน์ โดยมีวิทยากรผู้เปี่ยมประสบการณ์และเป็นแรงบันดาลใจในแวดวงสุขภาพจิตมาร่วมพูดคุย อาทิ น.ส.ทวิดา กมลเวชช นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. ,เขื่อน ภัทรดนัย ,อแมนด้า ออบดัม ,รัศมีแข.