เมื่อวันที่ 1 พ.ย. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว และแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถี ได้จัดเสวนาหัวข้อ “คุกคามทางเพศ กับนักการเมือง ผู้นำและอำนาจ” โดย ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ขณะนี้มีร้องเรียนการคุกคามทางเพศโดยผู้มีตำแหน่งทางการเมืองหลายกรณีต่อเนื่องกันในช่วงนี้ สะท้อนว่าคนในสังคม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่ยินยอมต่อการคุกคามทางเพศอีกต่อไป แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่คิดว่า พฤติกรรมคุกคามทางเพศเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องหมาหยอกไก่ ใครๆ ก็ทำกัน ไม่ผิดอะไร พอคนสองกลุ่มนี้มาเจอกัน ปัญหามันก็ปะทุขึ้น ยิ่งเป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ ยิ่งต้องถูกตรวจสอบโดยสาธารณะ จะถือเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้
ที่จริงปัญหาการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นในทุกวงการ พรรคการเมืองอื่นก็มีกรณีแบบนี้ แต่เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง ในกรณีพรรคก้าวไกล พรรคเป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่ และพรรคเคยแสดงจุดยืนว่าไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ พอเกิดเรื่องขึ้น คนที่ประสบเหตุเขาก็เห็นเป็นช่องทางที่จะร้องเรียน ถ้าร้องเรียนแล้วรู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี ก็อาจหันไปเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านช่องทางอื่น อย่างโซเชียลมีเดีย ก็จะทำให้ภาพของพรรคยิ่งดูแย่ลง ดังนั้น พรรคก้าวไกล รวมทั้งพรรคการเมืองทุกพรรค บรรดาผู้นำและองค์กรหน่วยงานต่างๆ ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ต้องเร่งสร้างกลไกตอบสนองต่อปัญหาการคุกคามทางเพศอย่างมีประสิทธิภาพ ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของผู้เสียหาย รวดเร็วและเป็นธรรม และต้องทำงานเชิงป้องกันเพื่อให้คนรับรู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนที่เป็นปัญหา ไม่ควรทำ และสร้างสำนึกใหม่เรื่องการเคารพซึ่งกันและกันควบคู่ไปด้วย
น.ส.ธารารัตน์ ปัญญา นักกิจกรรมทางการเมืองและความเสมอภาคระหว่างเพศ กล่าวว่า การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานาน และเกิดขึ้นบ่อยมากในสังคมไทย ทั้งในสถานศึกษา สถานที่ทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ไม่เคยมีการให้ความสำคัญในการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกัน แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่จะเน้นการไกล่เกลี่ย เพื่อให้เรื่องจบลงโดยเร็วที่สุด โดยที่ผู้เสียหายยังไม่รู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม แต่ที่ต้องยอมเพราะเกิดการกดดันจากทั้งผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย และสังคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติ การไม่เข้าใจปัญหา หรือสร้างพลังให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแต่อย่างใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันในชั้นของพนักงานสอบสวน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ทำให้เหยื่อไม่กล้าที่จะเล่าปัญหาให้ฟัง ประกอบกับทัศนคติที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง จึงทำให้การเขียนสำนวนอ่อนหรือมีช่องโหว่ เมื่อส่งไปยังอัยการ อัยการจึงไม่ส่งฟ้อง ปัญหาจึงไม่ถูกแก้ไข เป็นเหตุให้เหยื่อเลือกที่จะเงียบ อย่างไรก็ตาม ขอให้กล้าที่จะออกมาพูดเพื่อทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง และนำไปสู่การแก้ไขป้องกันต่อไป
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่มีมานานในสังคมไทย แต่ถูกเพิกเฉยและมองข้ามมาเป็นเวลานาน ไม่ได้สอนให้มีการสื่อสารเรื่องเพศ การเคารพในสิทธิเนื้อตัวของผู้อื่นเนื่องจากมองว่า เป็นเรื่องน่าละอาย โดยเฉพาะผู้หญิงหากพูดเรื่องนี้จะถูกมองเป็นหญิงไม่ดี ขณะเดียวกันก็ให้บทบาทและอำนาจกับผู้ชายในการเป็นผู้สื่อสารเรื่องเพศ หรือบอกความต้องการของตัวเอง ทำให้กลายเป็นทัศนคติชายเป็นใหญ่ รู้แค่ความต้องการของตัวเอง ไม่สนการยินยอมของฝ่ายหญิง นำมาสู่ผลลัพธ์ปลายทางคือการคุกคามทางเพศในทุกระดับ และสะท้อนออกมาผ่านสื่อ เพราะคนทำสื่อก็เติบโตมาจากความคิดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะละคร นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ค่อยมีการให้เสียงของผู้หญิงในการปฏิเสธอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวเลขการคุกคามทางเพศถึงไม่เคยลดลง ดังนั้นการแก้ไขต้องสร้างการเรียนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลให้รู้จักการหวงแหนเนื้อตัวของตัวเอง ไม่ไปละเมิดเนื้อตัวผู้อื่น เมื่อเด็กรู้จักหวงตัวก็จะปฏิเสธผู้ใหญ่ที่จะเข้ามาแตะต้องเนื้อตัว จะช่วยปรับพฤติกรรมผู้ใหญ่ได้ และเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเคารพสิทธิเนื้อตัว และเรื่องทางเพศของผู้อื่นมากขึ้น
นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ข่าวที่มีการเสนอผ่านสื่อ และร้องเรียนเข้ามายังมูลนิธิ พบว่ามีเรื่องเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศจำนวนมาก ซึ่งคนที่ถูกกระทำส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งถูกกระทำจากคนรู้จักคุ้นเคย คนในครอบครัว สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำอย่างชัดเจน ภายใต้โครงสร้างสังคมแบบชายเป็นใหญ่ โดยเฉพาะที่ร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิฯ จะพบว่าผู้เสียหายถูกกระทำจากครู อาจารย์เพิ่มขึ้น รวมถึงเริ่มถูกคุกคามทางเพศจากผู้นำ นักการเมืองท้องถิ่น จึงถึงเวลาที่ควรให้ความสำคัญกับการเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกายของกันและกันของคนทุกระดับ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติ หยุดใช้อำนาจเหนือ ไม่มองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นต้องมีทางเลือกที่เหมาะสมแก่ผู้เสียหาย ไม่กล่าวโทษผู้เสียหาย มีระบบให้คำปรึกษาที่ชัดเจน เป็นมิตร ที่สำคัญการเมืองทุกระดับต้องกำหนดจริยธรรมทางเพศให้ชัดเจน มีระบบการตรวจสอบเข้มข้น ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะไม่ใช้อำนาจเอาเปรียบทางเพศหรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศต่อผู้อื่น เป็นต้น.