หากนับเวลาจากนี้ไป ก็เป็นเวลาอีกปีกว่าๆ หรือ ปี  68 ประเทศไทย จะมี “ไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเลย์”  ที่เป็นศูนย์ กลางการออกแบบ พัฒนา วิเคราะห์ ทดสอบ ทดลองเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลขั้นสูง ของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ (ASEAN Digital Hub)

 หลังจาก สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ภายใต้ กระทรรงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ของบประมาณตั้งแต่ปี 60 และเริ่มก่อสร้างโครงการตั้งแต่ปี 62

 ซึ่งล่าสุด ทาง “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดีอี พร้อมด้วย “ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์”  ผู้อำนวยการใหญ่  ดีป้า ได้ลงพื้นที่ ติดตามความคืยหน้าของโครงการ

โดยโครงการ Thailand Digital Valley (TDV) ตั้งอยู่ในพื้นที่ 30 ไร่ของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี มีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 100,000 ตารางเมตร  จัดสรรพื้นที่ออกเป็น 5 อาคาร จะก่อสร้าง แล้วเสร็จ ทั้งหมดในปี 68

 อาคารแรก คือ  depa Digital One Stop Service  เป็นอาคารสำนักงาน depa สาขาภาคตะวันออก ขนาดพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร ก่อสร้างเสร็จแล้วตั้งแต่ ก.ย.63 ปัจจุบันเปิดให้บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในพื้นที่ภาคตะวันออก

รวมถึงการขึ้นทะเบียนเพื่อเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามมาตรการส่งเสริมของดีป้า อาทิ การขึ้นทะเบียน ผู้ประกอบการดิจิทัล บัญชีบริการดิจิทัล dSURE และ Capital Gain Tax ฯลฯ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเช่าเต็มพื้นที่และให้บริการดิจิทัลโซลูชันแก่ผู้ที่สนใจแล้ว

อาคาร 2  คือ Digital Startup Knowledge Exchange Center อาคารขนาด 4,500 ตารางเมตรที่ได้รับการ ขนานนามว่า ‘ดินแดนสวรรค์ของเหล่าดิจิทัลสตาร์ทอัพจากทั่วทุกมุมโลก’ (The Paradise of Every Nationality Startup) โดยเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่รวบรวม Digital Startup และกำลังคนในสายดิจิทัลไว้มากที่สุดในประเทศ เป็นศูนย์ รวมนวัตกรรมดิจิทัลประเภทต่าง ๆ

ประเสริฐ จันทรรวงทอง

ม่ว่าจะเป็น 5G, AI, Blockchain, Digital Services, Digital Content, E-SPORTS, Drone, Software Convergence ฯลฯ พร้อมกันนี้จะเป็นที่ตั้งของบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมาย ธุรกิจ และนักลงทุนจากทั่วโลก โดย ดีป้า ต้องการให้ อาคารแห่งนี้เป็นพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านดิจิทัล และสร้างเครือข่ายที่มีความพร้อมต่อยอดธุรกิจของเหล่า Digital Startup ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการ 100%

สำหรับ อาคาร 3  คือ Digital Innovation Center  พื้นที่ขนาด 40,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย ศูนย์สร้างสรรค์ นวัตกรรมดิจิทัล ประกอบด้วยพื้นที่ทดสอบทดลองเทคโนโลยี 5G (5G Testing Lab) ห้องปฏิบัติการระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent Lab) ศูนย์กลางข้อมูล (Data Center) พื้นที่ออกแบบนวัตกรรมไอโอทีและระบบอัจฉริยะ (IoT Design Center) พื้นที่ประดิษฐ์ต้นแบบนวัตกรรมไอโอที (Prototyping Fabrication Lab) 

รวมถึงพื้นที่ออกแบบและ ทดสอบเครื่องกล และหุ่นยนต์ (Mechatronics and Robotics Lab) พื้นที่การพัฒนา Cloud Computing และพื้นที่การพัฒนาเทคโนโลยีเสมือน อาทิ Augmented Reality, Virtual Reality, Extended Reality, และ Mixed Reality ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดการณ์ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 67

ขณะที่ อาคาร 4 คือ Digital Edutainment Complex พื้นที่ขนาด 20,000 ตารางเมตรรองรับกิจกรรมเพื่อจุดประกาย ความคิดสร้างสรรค์เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนเรียนรู้และท้าทายความสามารถ อาทิ Robotic School, Robot Fighting Arena, Drone School และ Drone Racing Arena คาดการณ์ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี  68

 และ สุดท้าย อาคาร 5 คือ Digital Go Global Center พื้นที่ขนาด 20,000 ตารางเมตร ศูนย์ออกแบบ และทดสอบเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลระดับนานาชาติ (International Digital and Innovation) และกำหนดให้เป็นพื้นที่ศูนย์บ่มเพาะ Digital Startup ของไทย เพื่อให้เกิดการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ ด้วยนวัตกรรมออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ คาดการณ์แล้วเสร็จภายในปี 68

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดีอี บอกว่า โครงการนี้ลงทุนกว่า 4,000  ล้านบาท ซึ่งการลงพื้นที่ พบว่าโครงการมีความคืบหน้าใกล้สมบูรณ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 68 และจะช่วยสนับสนุนโครงการ ระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก (อีอีซี)   ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการดิจิทัลเข้ามาจองพื้นที่แล้ว และยังสามารถช่วยสร้างบุคคลากรดิจิทัลที่ไทยยังคงขาดแคลนได้  ซึ่งรัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะมีส่วนช่วยพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันของประเทศได้  และเป็นระบบนิเวศดิจิทัลสำคัญของประเทศไทย

ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์

“บุคลากรด้านดิจิทัลของไทยยังเป็นรองเวียดนาม ซึ่งทางดีอีต้องการคนกลุ่มนี้ขึ้นมาโดยร่วมกับมหาวิทยาลัย และเผู้ประกอบการเอกชน และดึงดูดนักลงทุนเข้ามา ซึ่งสถานที่นี้สามารถรองรับได้ ทั้งการลงทุนและเทรนคน โดยหวังว่าพื้นที่นี้จะเป็น หัวหอก ช่วยดันให้ไทยจะเป็นฮับดิจิทัลของภูมิภาคนี้ได้”

ขณะที่  “ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์”   บอกว่า หากโครงการนี้แล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มการจ้างงานใหม่ในพื้นที่ ได้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นตำแหน่ง และการจ้างงานเดิม 2 หมื่นตำแหน่ง  โดยตอนนี้มีบริษัทใหญ่ เข้ามาจองพท้นที่แล้ว เช่น AIS , J&C , Ericsson , MyMooban , NacDrone และ Zalute  นอกจากนี้ยังมีผู้แจ่งความประสงค์ใช้บริการพื้นที่ อาทิ  Huawei ,Multiverse Expert , Tockto , Solution Center  , Innova  และ Cybernatics+  เป็นต้น รวมถึงยังอยู่ช่วงเจรจาชักชวน “ยักษ์ดิจิทัลระดับโลก” เข้ามาเพิ่มเติมอีก

“ โครงการนี้ที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับประเทศไทยและส่งเสริมให้คนไทยก้าวไปสู่เวทีระดับโลก เปิดมิติใหม่ทางการค้าสู่ตลาดสากลด้วยบทบาทเจ้าของเทคโนโลยีที่มีความร่วมมืออันดีกับเครือข่ายพันธมิตร ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนผ่านกลไกต่างๆ และสร้างการเชื่อมโยงระหว่างเครือข่าย ดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการดิจิทัล กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ”

สุดท้ายแล้วเชื่อว่าโครงการ ไทยแลนด์ ดิจิทัล วัลเลย์ จะ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของไทย!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์