เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่ อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น เพื่อพบกับ ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนชื่อดังใน อ.แวงน้อย ซึ่งเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนเพื่อช่วยเป็นกระบอกเสียงสะท้อนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ เนื่องจากเกรงว่าคดีความที่แจ้งไว้ที่ สภ.แวงน้อย จะไม่ได้รับความเป็นธรรม และต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนติดตามจับกุมคนที่ทำการข่มขืน ด.ญ.เอ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

โดยผู้สื่อข่าวได้พบกับนางอุ้ม (นามสมมุติ) อายุ 63 ปี ย่าของ ด.ญ.เอ และญาติพี่น้อง ซึ่งรวมตัวกันอยู่ที่บ้าน ส่วน ด.ญ.เอ ถูกส่งตัวไปรักษาที่รพ.ขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา นางอุ้ม เล่าว่า ด.ญ.เอ เป็นบุตรคนที่ 2 ของลูกชาย ที่เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ พร้อมภรรยา โดยได้เลี้ยงหลานสาวมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ก่อนเกิดเหตุในช่วงโรงเรียนปิดเทอม พ่อและแม่อยากให้ลูกสาวไปหาที่ กรุงเทพฯ โดยเป็นการออกจากบ้านครั้งแรกของหลานสาว

นางอุ้ม เล่าต่อว่า พ่อน้องเอเป็นคนประสานงานให้รถตู้มารับลูกสาวที่บ้าน เมื่อเย็นวันที่ 1 ต.ค. โดยตามกำหนดการ รถตู้จะต้องส่งหลานสาวถึงพ่อแม่ในช่วงเช้ามืดวันที่ 2 ต.ค. แต่รถตู้นำส่งในช่วงเที่ยงของวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งจากการสอบถามกับคนขับรถตู้ ตอบว่า ซ่อมถนน รถติดมาก จึงมาส่งช้า เมื่อพ่อรับลูกก็ไม่ได้สังเกตความผิดปกติ เห็นลูกเงียบ นิ่ง คิดว่าลูกสาวเมารถ จึงไม่ได้สอบถามและให้ลูกสาวนอนพักผ่อน ซึ่งลูกสาวอยู่กับพ่อแม่ที่ กรุงเทพฯ จนถึงสิ้นเดือน ต.ค. พ่อจึงจองรถตู้ให้ไปรับกลับมาส่งที่บ้าน ซึ่งก็เป็นรถตู้คันเดิมมาส่งหลานสาวที่บ้าน

นางอุ้ม เล่าต่ออีกว่า หลังจากหลานสาวลงจากรถ ก็มีอาการเหม่อลอย พฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงเฝ้าสังเกตอาการและพยายามคุยกับหลาน ในช่วงเวลานอนกลางคืน หลานไม่ยอมนอน ได้แต่พนมมือและพูดพร่ำ เอ่ยชื่อนายหอย (นามสมุติ) เจ้าของรถตู้คันดังกล่าว จึงพยายามคุยกับหลานสาว ระบุว่า นั่งรถตู้ไปกับนายหอย นายหอยตระเวนส่งคนไปทั่ว จนเหลือหลานสาวคนเดียว นายหอยจึงให้ดื่มน้ำก่อนจะไปส่งหาพ่อแม่ หลังดื่มน้ำ นายหอยได้ข่มขืนหลานสาวในรถตู้ จนเลือดไหลเต็มเบาะรถ ซึ่งหลานสาวมีอาการ อ่อนแรง ขัดขืนไม่ได้ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็สว่างแล้ว และพบว่าตัวเองนอนในเบาะรถตู้ และรถตู้ขับวนไปหลายที่โดยไม่รู้ว่าเป็นที่ใด จนถูกนำส่งถึงที่พักของพ่อแม่ แต่ยังไม่ได้บอกพ่อแม่ จนกลับมาถึงบ้าน จึงเล่าให้ย่าฟัง

“หลังทราบเรื่องจึงโทรศัพท์ พ่อและแม่ของหลานสาว ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและตัดสินใจ เข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.แวงน้อย ซึ่งตำรวจก็รับแจ้งความ โดยสันนิษฐานว่า เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเวลา 05.00-11.00 น.วันที่ 2 ต.ค. 2566 ช่วงระหว่างทาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ถึงพื้นที่ สน.บางกอกใหญ่ ซึ่งตำรวจสภ.แวงน้อย รับแจ้งความร้องทุกข์ไว้ในเบื้องต้น จากนั้นประสานไปยังตำรวจสน.บางกอกใหญ่ ที่เชื่อว่าเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ให้ทำการสืบสวนและสอบสวน เพื่อดำเนินการขอหมายจับคนขับรถตู้มาดำเนินคดีตามกฎหมาย” นางอุ้ม กล่าว

นางอุ้ม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังเข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.แวงน้อย ตำรวจก็ทำเรื่องส่งตัวไปตรวจร่างกายที่รพ.แวงน้อย จากการตรวจร่างกาย แพทย์แจ้งในเบื้องต้นว่าพรหมจรรย์ฉีกขาดและเป็นแผลที่เกิดขึ้นนานแล้ว ส่วนอาการเหม่อลอยเหมือนเสียสตินั้น เกิดจากอาการของคนถูกวางยา รพ.แวงน้อย จ.ส่งตัวหลานสาวไปรักษาต่อที่รพ.ศูนย์ขอนแก่น พ่อแม่จึงลางานมาเฝ้าดูลูกสาวที่รพ.ศูนย์ขอนแก่น ซึ่งขณะนี้หลานสาวก็ยังไม่ดีขึ้น

ด้านนายบี (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี พ่อของด.ญ.เอ กล่าวว่า รถตู้คันดังกล่าวเป็นรถตู้ที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก โดยจะมีป้ายโฆษณาติดไว้ตามเสาไฟฟ้า ในหมู่บ้านในชุมชน เมื่อรู้ว่าลูกสาวปิดเทอม ด้วยความคิดถึงอยากให้ลูกไปอยู่ด้วย จึงติดต่อรถตู้ให้ไปรับลูกสาวจากที่บ้าน มาส่งให้ยังที่พักในกรุงเทพฯ ซึ่งปกติรถจะถึงในช่วงเช้ามืด แต่ไม่เห็นจึงโทรศัพท์สอบถามนายหอย คนขับรถตู้ บอกว่า ซ่อมถนน รถเยอะ รถติด จะถึงช้า ส่วนโทรศัพท์ลูกสาวติดต่อได้ แต่ไม่รับสาย จึงคิดว่าลูกหลับในรถ จนกระทั่งก่อนเที่ยง รถตู้จึงส่งลูกสาวให้พ่อแม่ โดยที่ไม่ได้สังเกตความผิดปติของลูก พบเพียงอาการนิ่งเงียบ ไม่คุย จึงคิดว่าลูกเมารถ จึงให้ลูกพักผ่อน พ่อแม่ก็ไปทำงานตามปกติ

“ตำรวจทำงานล่าช้ามาก ไม่มีการสอบสวนลูกสาวแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งครอบครัวก็พอรู้ว่า เรื่องเด็กต้องใช้ทีมสหวิชาชีพมาสอบสวน แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดมาสอบสวนย่า พ่อ แม่หรือลูกสาวเลย สอบถามที่สภ.แวงน้อย ก็ได้ใจความว่า รอฝ่ายสน.บางกอกใหญ่ ทำการสอบสวนและขอหมายจับ สภ.แวงน้อย จึงจะจับกุมตัวนายหอยได้ ส่วนสน.บางกอกใหญ่ บอกว่า ยังไม่ได้สอบสวนผู้เสียหายและพยานแวดล้อม ต้องรอให้น้องอาการดีขึ้น ถึงจะทำการสอบสวน และสืบสวนจับกุมคนที่ข่มขืนน้องเอได้” นายบี กล่าวด้วยความเซ็ง