สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่า ความไร้สัญชาติมี “ผลกระทบร้ายแรง” ต่อผู้ที่ไม่มีสัญชาติเป็นของตัวเอง พร้อมกับเรียกร้องให้มีการดำเนินการมากกว่านี้ เพื่อต่อสู้กับการกีดกันดังกล่าว
เนื่องจากผู้ไร้สัญชาติ ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมืองของประเทศใด พวกเขาจึงมักถูกลิดรอนสิทธิมนุษย์ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานต่าง ๆ จนนำไปสู่การถูกลดความสำคัญทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเสี่ยงต่อการเลือกปฏิบัติ, การเอารัดเอาเปรียบ และการล่วงละเมิด
“มีรายงานว่า ประชาชนอย่างน้อย 4.4 ล้านคน ใน 95 ประเทศ ไม่มีสัญชาติ หรือมีสัญชาติที่ไม่สามารถระบุได้” ยูเอ็นเอชซีอาร์ ระบุเสริมในแถลงการณ์ว่า ผู้ไร้สัญชาติจำนวนมากในโลก เป็นสมาชิกของชนกลุ่มน้อย
Having a nationality is a fundamental human right, but according to #GlobalTrends, millions are still invisible.
— UNHCR, the UN Refugee Agency (@Refugees) November 5, 2023
They deserve to say #IBelong. We need to take action to #EndStatelessness. pic.twitter.com/Gbpan3Jin2
ด้านนายฟิลิปโป กรานดี ข้าหลวงใหญ่ยูเอ็นเอชซีอาร์ กล่าวว่า แม้ความไร้สัญชาติมีสาเหตุหลายประการ แต่ในหลายกรณีสามารถแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและนโยบายที่เรียบง่าย อีกทั้งเขายังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ดำเนินการทันที และรับประกันว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ยูเอ็นเอชซีอาร์ ระบุเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ เคนยา, คีร์กีซสถาน, มอลโดวา, มาซิโดเนียเหนือ, โปรตุเกส และแทนซาเนีย ดำเนินการก้าวสำคัญในประเด็นความไร้สัญชาติ ขณะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ดีอาร์ซี) เป็นประเทศล่าสุดที่ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของบุคคลไร้รัฐ ปี 2497 และอนุสัญญาว่าด้วยการลดภาวะไร้รัฐ ปี 2504
“ความคืบหน้าในการต่อสู้กับความไร้สัญชาติ เป็นไปในเชิงบวก และเราขอชื่นชมประเทศต่าง ๆ ที่ดำเนินการ แต่มันยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการพลัดถิ่นโดยบังคับทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ประชาชนหลายล้านคนจึงถูกทิ้งให้อยู่ชายขอบ, ถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน รวมถึงการมีส่วนร่วม และการช่วยเหลือสังคม ซึ่งการกีดกันเช่นนี้ ไม่ยุติธรรม และต้องได้รับการแก้ไข” กรานดี กล่าวทิ้งท้าย.
เครดิตภาพ : AFP