เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 พ.ย. ที่รัฐสภา นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีรถบรรทุกตกถนนบริเวณฝาท่ออุโมงค์สายไฟฟ้าและสายสัญญาณน้ำ บริเวณซอยสุขุมวิท 64 /1 คาดว่าเป็นผลมาจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน ซึ่งบริเวณหน้ารถมีสติกเกอร์รูปดาวสีเขียว อักษรภาษาอังกฤษ ตัว B ติดหน้ารถบรรทุกสิบล้อ ว่าตนยืนยันว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่จ่ายส่วย เพื่อวิ่งนอกเวลาและบรรทุกน้ำหนักเกินแน่นอน ซึ่งจะต้องจ่ายให้กับหลายหน่วยงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถของตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นใน กทม. มีสี่แยกจำนวนมาก ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่หากไม่มีสติกเกอร์จะต้องถูกเรียกจอดเพื่อตรวจสอบทุกจุด จะสังเกตว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะเมื่อก่อนเกิดเหตุลักษณะเดียวกันที่บริเวณราชปรารภ ซึ่งสังเกตว่าน่าจะเป็นรถบรรทุกคันเดียวกัน และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนสงสัยว่าทำไมเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยและอุบัติภัยจึงไม่เข้าไปดำเนินการ แต่ให้เจ้าของรถเป็นผู้ดำเนินการเองโดยอ้างว่ารถมีมูลค่าหลายล้านบาท ทั้งที่ถนนที่รถบรรทุกทำพังมีมูลค่าหลายล้านบาท การที่ผู้ประกอบการทำแบบนี้ถือว่าเห็นแก่ตัวเกินไป ถ้ารถไม่ติดชะงักอยู่ในที่เกิดเหตุแล้วมีรถตามหลังมาตกลงไปในท่อดังกล่าว ที่มีความลึกถึง 7 เมตร ความสูญเสียจะมากขนาดไหน
“สติกเกอร์รูปดาวสีเขียวที่มีสัญลักษณ์ตัวบีติดอยู่ จะเป็นสติกเกอร์สำหรับรถบรรทุกขนวัสดุขนดินในไซต์งานก่อสร้างเข้าออกเขตพื้นที่ กทม. ซึ่งในไซต์งานก่อสร้างจะไม่มีตาชั่งน้ำหนักสำหรับรถบรรทุก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรน้ำหนักก็เกินกฎหมายกำหนด ในขณะที่พื้นที่ทางหลวงจะมีด่านชั่งเพื่อตรวจสอบน้ำหนัก ซึ่งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ผมได้พูดคุยกับนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าฯ กทม. ว่า สามารถนำรถบรรทุกไปชั่งน้ำหนักที่ใด ผมจึงบอกว่าสามารถชั่งได้ก่อนขึ้นทางด่วน ซึ่งจะมีด่านชั่งน้ำหนัก หากเกินจะไม่สามารถขึ้นทางด่วนได้ สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือสะพานข้ามแม่น้ำในพื้นที่ กทม. ไม่มีด่านชั่งน้ำหนัก หากเกิดการชำรุดหรือเสียหายขึ้นมา ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก จึงอยากวิงวอนไปถึงประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับรถบรรทุก ขอให้ระมัดระวัง เพราะทักษะของผู้ขับขี่แต่ละคนไม่เท่ากัน” นายอภิชาติ กล่าว
ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับส่วยสติกเกอร์รูปดาวที่เกิดเหตุนี้ จะต้องจ่ายส่วยให้กับหน่วยงานหลายแห่งทั้งสถานีตำรวจเจ้าของพื้นที่ที่รถต้องขับผ่าน กทม. เจ้าของพื้นที่ แต่ตนไม่สามารถฟันธงได้ว่าเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ กทม. ไม่สามารถเข้าไปเคลียร์กับเจ้าของรถบรรทุกได้เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์หรือไม่ แต่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็คาดว่าเป็นเช่นนั้น แต่ตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุจึงไม่สามารถพูดได้ และไม่รู้ว่าเจ้าของรถบรรทุกจ่ายส่วยให้ใคร เคลียร์กับใครในราคาเท่าไหร่ ซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้วที่มีข้อมูลทุกอย่างครบถ้วน ส่วนสติดเกอร์ “เสี่ยบิ๊ก” ที่ติดอยู่บนรถบรรทุกคันเกิดเหตุเป็นใครนั้นตนไม่รู้จักมาก่อน
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า ในจุดเกิดเหตุมีหลักฐานที่เป็นภาพนิ่งและวิดีโอต่างๆ ที่บันทึกไว้แล้ว และเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ผู้ใหญ่จะต้องลงมาตรวจสอบว่า เหตุใดถึงมีการทำลายหลักฐาน ไม่ใช่เจ้าของรถบรรทุกมาอ้างว่า รถราคา 4-5 ล้านบาท แต่ขณะที่ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้รถติดนาน 17-18 ชม. และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ว่า เจ้าของรถดังกล่าวเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ เพราะหากคนเรากล้าทำผิดกฎหมาย ก็ถือว่ามีอิทธิพลพอสมควร
เมื่อถามว่า รถบรรทุกเป็นบริษัทเดียวกับกรณีที่เคยเกิดเหตุที่แยกมักกะสัน และมาเกิดเหตุซ้ำหรือไม่ นายอภิชาติ กล่าวว่า รถสีเดียวกัน แต่รถคันแรกที่มักกะสัน ทำไมตรวจจับไม่ได้ แต่ทำไมกรณีรถจักรยานยนต์ที่ใส่หมวกกันน็อกปล้นทองยังจับได้เลย แล้วนี่รถคันเบ้อเร่อทำไมถึงจับไม่ได้และชี้ว่านี่คือสาเหตุที่เรียกว่า กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะใน กทม.ยังกล้ากระทำผิดแล้ว ในต่างจังหวัดจะรุนแรงขนาดไหน
“ผมขอเรียนตรงๆ ว่าการประกอบอาชีพรถบรรทุก ถ้าจะยืนอยู่บนการทำผิดกฎหมาย ผมขอให้เลิกทำ เพราะชีวิตของคนที่ร่วมใช้ถนน ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องมาเสียหายหรือเสียชีวิตมันไม่สมควร การประกอบอาชีพสุจริตภายใต้กฎหมายก็สามารถอยู่ได้ ทำไมพวกผมอยู่ได้ ส่วนผู้ที่จะต้องออกมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ กทม. ตำรวจ สิ่งแวดล้อม ตำรวจจราจรกลาง ฝากไปยังผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยงาน เรื่องนี้จะต้องแก้ไข และรีบดำเนินการ เพราะว่าในขณะนี้ผมในฐานะคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องส่วย เรื่องนี้หากมีอะไรก็จะรายงานต่อประธาน กมธ.การคมนาคม” นายอภิชาติ กล่าว
นายอภิชาติ กล่าวว่า ปัญหาของส่วยมีหลากหลายมิติเช่นเดียวกับปัญหาบ่อน จับได้ก็ย้ายที่ ก็ไม่จบสักที และจี้ไปยังรัฐบาลที่จะต้องดูแล เพราะถนนใช้งบมหาศาลในการก่อสร้างแต่มีอภิสิทธิ์ในการจ่ายเงินไม่กี่แสนบาท แต่สามารถทำงานได้เป็น 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นเดือน เพราะหากจบงานก็ย้ายไปที่อื่น ก็เคลียร์จุดอื่น ซึ่งคนเคลียร์อาจจะเป็นบัญชีม้า เรื่องนี้เป็นอะไรที่ “คนให้” กับ “คนรับ” เขารู้กัน ซึ่งคนนอกก็ไม่สามารถดูตัวเลขได้
เมื่อถามว่า รถบรรทุกบางส่วนสะท้อนว่าหากไม่บรรทุกเกินน้ำหนักก็อาจจะไม่คุ้มค่าการวิ่งงาน นายอภิชาติ กล่าวว่า สหพันธ์ฯ มีงบรถอยู่ 4-5 แสนคัน แต่ทำไมสามารถวิ่งได้โดยถูกกฎหมายตั้ง 20 กว่าปี ตรงนี้ขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกกับคุณธรรม ส่วนปริมาณน้ำหนักดินที่รถบรรทุกที่เกิดอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.นั้น คาดว่ามีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 40 ตัน ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้ 25 ตัน แต่หากเป็นรถพ่วงก็อยู่ที่ 50 ตัน ซึ่งรถพ่วงบางเจ้า พบว่าขนน้ำหนักเป็น 100 ตันก็มี ทำให้ผู้ประกอบการบางรายมองว่ากฎหมายใครทำผิดก็ได้อยู่ที่ว่าใครสามารถจ่ายให้เจ้าหน้าที่เท่าไหร่
นายอภิชาติ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ มีการไปบริการยกกรวย และให้บริการกับเจ้าของรถ ซึ่งต้องไปตรวจสอบ เชื่อว่าเรื่องนี้ยาวแน่ ไม่ใช่ EP เดียว น่าจะมีหลาย EP อยู่ที่ว่าจะจริงใจแก้ไขปัญหาหรือไม่ ซึ่งในการร่วมมือกับนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล การแก้ไขปัญหาส่วยรถบรรทุก จนถึงตอนนี้ ยอมรับว่าปัญหาก็ยังมีอยู่แต่ไม่ใช่รูปแบบส่วยสติกเกอร์ อาจจะเป็นการใช้บาร์โค้ด โดยรวบรวมทะเบียน ซึ่งผู้บัญชาการสอบสวนกลางได้กำชับ ว่าหากหน่วยงานไหนถูกจับด้วยหน่วยงานอื่น ก็จะถูกสั่งย้ายทันที.