เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 พ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหยื่อเมาแล้วขับ และภาคีสมาชิก กว่า 50 คน แต่งตัวเป็นเหยื่ออุบัติเหตุเลือดท่วมตัว ชูป้าย “หยุดผับบาร์ตี 4 หยุดเพิ่มภาระทางการแพทย์” ยื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงจากเวลา 02.00 น. ออกไปเป็นเวลา 04.00 น. ตามนโยบายของรัฐบาล โดยมี รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้รับมอบ
นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงาน ภปค. กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ก้าวหน้าระดับหนึ่ง แต่วันนี้รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีใครไม่เห็นด้วย แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องไม่เป็นการเพิ่มปัญหาใหม่ หรือสร้างภาระเพิ่มให้กับประชาชน ดังนั้น การที่รัฐบาลจะขยายการปิดสถานบันเทิง เป็นเวลา 04.00 น. ใน 4 จังหวัด แล้วกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็ลุ้นกันเต็มที่ โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ซึ่งอดีตเป็น รมว.สาธารณสุข ก็เคยคัดค้าน แต่พอไปอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นปกติ ถือเป็นหน้าที่ของท่าน แต่การคัดค้านก็เป็นหน้าที่ของเรา รัฐบาลจะต้องมองให้รอบด้าน ไม่ใช่คิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีการง่ายๆ อย่าไปหลงเชื่อธุรกิจว่าการขยายเวลาปิดผับ แล้วจะช่วยเรื่องธุรกิจมหาศาล ไม่ปฏิเสธว่ามีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่เรามั่นใจอย่างยิ่งว่า ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน ที่สำคัญ ขอให้ นพ.ชลน่าน แสดงจุดยืนปกป้องประชชน ไม่ใช่ตามนาย ถ้าจะตามนายอย่างเดียวให้ไปอยู่ที่กระทรวงอื่น

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เครือข่ายที่มาวันนี้ เพราะพวกเรามีจุดยืนเดียวกัน แต่ก็ต้องถาม นพ.ชลน่าน ว่า มีจุดยืนเดียวกันกับเราหรือไม่ ซึ่งฟังจากคำให้สัมภาษณ์ล่าสุด ท่านก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดกับการขยายเวลาปิดผับบาร์ตี 4 ทำให้ใจเราชื้น แต่เท่าที่ดูความมุ่งมั่นของรัฐบาลนายเศรษฐา ซึ่งก็เป็นนักธุรกิจ ตั้งใจจะเอาให้ได้ ทำให้เราสงสัยมาก เพราะมีหลายเรื่องที่น่าทำมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เนื่องจากแต่ละปีมีชาวต่างชาติมาตายบนท้องถนนประเทศไทยปีละกว่า 500 คน บาดเจ็บกว่า 16,000 คน ซึ่ง 25-30% มาจากการเมาแล้วขับ ขณะเดียวกันเว็บไซต์ประกันภัยการท่องเที่ยวระดับโลก มีการสำรวจ 50 ประเทศท่องเที่ยวทั่วโลก ปรากฏว่าประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความอันตรายในลำดับที่ 12 เพราะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัยทางถนน การทะเลาะวิวาท การคุกคามทางเพศ ดังนั้นภาพที่เห็นว่าสวยหรู มีการเพิ่มรายได้นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่มันใช่เรื่องที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ แต่สิ่งที่จะได้คือคนเสียชีวิต บาดเจ็บพิการจากคนเมา ความรุนแรงในครอบครัว การคุกคามทางเพศ เพิ่มขึ้นแน่นอน
“ที่มาวันนี้ เพราะมีความเชื่อว่าจุดยืนของเรา กับกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นจุดยืนเดียวกัน ที่จะต้องปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชน การขยายเวลาปิดผับ ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะต้องเพิ่มโรงพยาบาล เพิ่มหมอ เพิ่มบุคลากร เพื่ออวยบรรดาผับ บาร์ ร้านเหล้า นายทุนเหล้าทั้งหลาย เราต้องลงทุนขนาดนั้นใช่หรือไม่ อยากให้เสียงของเรา เสียงของเหยื่อได้ยินไปถึงคนที่ผลักดันเรื่องนี้อย่างนายเศรษฐา นายกฯ อยากให้ท่านลองมาอยู่กับพวกเราสักหนึ่งวันก็พอ แล้วท่านจะรู้ว่าความทุกข์ยากของคนๆ หนึ่ง จากที่เคยใช้ชีวิตได้ปกติ กลับต้องมาพิการเพราะคนเมา มันทุกข์ยากแสนสาหัส แล้วที่ผ่านมารัฐบาลเคยช่วยหรือเปล่า ถ้าไม่ช่วยก็อย่าซ้ำเติมด้วยนโยบายที่ทำร้ายพวกเราแบบนี้” นายชูวิทย์ กล่าว

ดังนั้นเครือข่ายจึงมีข้อเสนอดังนี้ 1. ขอแสดงจุดยืนคัดค้านเรื่องนี้อย่างสุดตัว และจะไปทุกที่ทุกเวทีที่มีการรับฟังความคิดเห็น หรือพูดคุยเรื่องนี้ 2. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มน้ำหนักปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3. วันนี้เรายังเชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขยังมีความเป็นกลาง ยังเป็นที่พึ่ง ที่คาดหวังของประชาชน จึงขอให้จัดเสวนารับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการตัดสินใจในนโยบายนี้ เพราะเราไม่เชื่อกระทรวงมหาดไทย ไม่เชื่อกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่ตั้งธงว่าจะเอาเรื่องนี้ เราไม่เชื่อแม้กระทั่งรัฐบาลด้วยซ้ำไป และ 4. เครือข่ายฯ ยืนยันว่าเรายินดี จะยืนเคียงข้างกระทรวงสาธารณสุขแบบนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการทำให้คนในประเทศนี้มีสุขภาพที่ดี
ด้าน นพ.เชิดชัย กล่าวว่า ตนก็เป็นศัลยแพทย์ผ่าตัดเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมา ก็มีเคสต้องผ่าตัดคนที่เกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับมาตลอด ทราบดีว่างานเยอะจริงๆ เป็นภาระที่เกิดขึ้นจากการที่เราไม่ได้คิดขึ้น แต่เมื่อเราเป็นแพทย์ ก็ต้องทำตามหน้าที่เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลด้านสุขภาพของประชาชน การรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ ต้องใช้งบประมาณและบุคลากรจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ได้มีการพูดคุยกับอธิบดีกรมควบคุมโรคเห็นว่า มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องไปดูที่ตัวกฎหมาย รวมถึงการออกกติกาต่างๆ ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะ นพ.ชลน่าน ซึ่งมอบหมายให้ตนมารับหนังสือในวันนี้ ก็ระบุว่า โรงพยาบาลทุกแห่งเป็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสังกัดไหนก็ตาม จะต้องดูแลสุขภาพของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อรับหนังสือแล้ว ตนจะนำไปเรียนท่าน เพราะท่านเองก็เป็นคณะรัฐมนตรีด้วย มีสิทธิที่จะไปออกความคิดเห็นว่าจะทำอย่างไร เรายึดถือสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ เพราะเราอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพที่ดี เมื่อสุขภาพดีแล้ว ก็จะมีศักยภาพในการทำงาน ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้เช่นเดียวกัน.