เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง พร้อมด้วยทีมงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรัก ร่วมกันลงพื้นที่บริเวณหน้าโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน สีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ หลังได้รับเบาะแสจากประชาชนเพิ่มเติมว่า มีแก๊งขอทานชาวจีนอยู่บริเวณดังกล่าว จึงร่วมกันไปตรวจสอบและสอบถามพูดคุยกับชายขอทานชาวจีน โดยมีพนักงานร้านอาหารจีนชื่อ นายอัง มาช่วยเป็นล่ามแปลภาษาให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการ พูดคุยชายรายดังกล่าวไม่ค่อยให้ความร่วมมือ พยายามจะเดินหนี และเอากระเป๋าฟาดผู้สื่อข่าว พร้อมกับบอกให้นักข่าวหยุดบันทึกภาพ และปฏิเสธการเดินทางไปที่ สน.บางรัก เนื่องจากกังวลว่าจะถูกปรับ เพราะถูกจับมาหลายรอบแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้าพูดคุยเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นเวลานาน จากการสอบถามทราบชื่อ นายเสี่ยวหลง อายุประมาณ 30 ปี อ้างว่าเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยได้ประมาณ 10 กว่าวัน ปรากฏว่าพลาดทำเงินหล่นหาย จึงได้รับคำแนะนำจากชาวจีนด้วยกันว่าให้นั่งขอทานแบบนี้ในช่วงเย็น ๆ ส่วนบาดแผลตามร่างกายและความพิการนั้น ได้มาหลังจากไปเป็นทหาร โดยนายเสี่ยวหลง ยังระบุด้วยว่า ตอนนี้มีเพื่อนเป็นคนไทยมีประมาณ 10 คน และทำธุรกิจ ซึ่งเพื่อนจะพาไปทานข้าวทุกวัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จากการมานั่งขอทานทำให้มีเงินเพียงพอที่จะกลับประเทศแล้วหรือยัง นายเสี่ยวหลง พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบ พร้อมกับบอกว่า วันนี้ได้เงินประมาณ 40-50 บาท แต่ไม่ตอบว่า ตลอดสามวันที่ผ่านมา ได้เงินประมาณเท่าไหร่ ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเอกสารแสดงตัวและการเข้ามายังประเทศไทยนั้น นายเฉียวหลงเปิดเผยว่า ไม่มีเอกสารติดตัวอยู่ที่ห้องพักย่านเยาวราช แต่มีรูปถ่ายอยู่ในโทรศัพท์ เมื่อผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ตำรวจขอดูเอกสาร นายเฉียวหลงอ้างว่าโทรศัพท์เสียไม่สามารถเปิดให้ดูได้
ต่อมา ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่มายังจุดดังกล่าวและสอบถามว่า ทำไมถึงไม่ติดต่อสถานทูตหรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อน นายเสี่ยวหลง อ้างว่าไปมาแล้ว ซึ่งทางสถานทูตบอกว่าตำรวจกำลังช่วยหา และไม่อยากขอความช่วยเหลือจากเพื่อน โดยวันพรุ่งนี้ตนจะเดินทางกลับประเทศแล้วด้วย ส่วนเรื่องพาสปอร์ต นายเสี่ยวหลง บอกว่า รู้ว่าต้องพกติดตัวแต่ว่าเคยโดนขโมย เลยถ่ายเก็บไว้ในโทรศัพท์แทน อย่างไรก็ตาม การนั่งขอทานนั้นตนรู้ว่าผิดกฎหมาย แต่ที่ทำก็เพราะไม่มีทางเลือก ยืนยันว่า ไม่มีเพื่อนคนอื่นมาทำ ก่อนที่ต่อมาจะอ้างว่า อาศัยอยู่ประเทศลาว
ขณะที่ ร.ต.ธนกฤต กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้จะต้องประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ขยายผล ว่าการใช้พาสปอร์ตหรือวีซ่าถูกกฎหมายหรือไม่ เข้ามาในประเทศไทยเป็นขบวนการและเข้ามาได้อย่างไร ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ถือว่าเป็นกลุ่มจีนเทา แต่เราต้องการจีนขาวที่เข้ามาในวงการท่องเที่ยวในประเทศไทย การกระทำลักษณะนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เราจะให้คนแบบนี้อยู่ในประเทศไทยคงจะไม่ดีนัก แล้วก็ยิ่งกระบวนการดังกล่าว ตนเองเชื่อว่าเขาคงมีความรู้ นอกจากนี้พฤติการณ์ที่เห็นคือ ตอนที่มีการควบคุมตัว ปรากฏว่ามีคนไปที่สถานีตำรวจทันที จากการสังเกต เขาไม่ได้มีการติดต่อกับใครเลย จึงเชื่อว่าไม่น่าจะทำคนเดียวอย่างแน่นอน
ต่อมาเวลา 19.00 น. ร.ต.ธนกฤต ได้ออกมาเปิดเผยหลังจากเข้าร่วมสอบปากคำขอทานชาวจีนว่า จากการพูดคุยยังให้การวกวน ไม่ยอมบอกที่อยู่ ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แกล้งทำเป็นโมโหขว้างโทรศัพท์ลงพื้น จากเดิมที่บอกว่ารู้ว่าการมาขอทานผิดกฎหมาย พอถามอีกทีก็บอกว่าเพื่อนแนะนำมาว่าที่นี่ขอได้ จากการตรวจเช็คพาสปอร์ตพบว่าถูกต้อง เดินทางมาจากประเทศลาว แล้วก็บอกว่าพรุ่งนี้จะเดินทางกลับประเทศจีน เบื้องต้น มีความผิดในข้อหาเรี่ยไรเงิน ส่วนข้อหาหลบหนีเข้าเมืองอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง
ร.ต.ธนกฤต กล่าวต่อว่า ในวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาร่วมสอบสวนด้วย เพื่อขยายผลหาตัวคนที่นำพาบุคคลเหล่านี้เข้ามาเพื่อดูว่าเป็นขบวนการค้ามนุษย์หรือไม่ เนื่องจากคนพวกนี้สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ซึ่งคนพวกนี้จะใช้ความน่าสงสารมาขอเรี่ยไรเงินตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก วันนี้ความชัดเจนคือ พบว่ามีจำนวนเงินอยู่ส่วนหนึ่งที่เราตรวจพบ ส่วนเอกสารอื่น ๆ เขาพยายามจะไม่ให้ และพยายามจะไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าไม่น่าจะมีเพียงคนเดียวที่ทำ และรายได้ที่มาจากการเรี่ยไรพบว่า มีเป็นจำนวนมาก รายละไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาทต่อวัน ซึ่งเป็นการหาเงินอีกวิธีหนึ่งคาดว่าเดือนนึงไม่ต่ำกว่าล้านบาท
ด้าน กัน จอมพลัง กล่าวว่า จากการสอบถาม เขาพูดมาว่าพักอยู่ย่านเยาวราช ซึ่งจากข้อมูลที่ได้พบว่าพูดตรงกัน 3 คน ที่เจอก่อนหน้านี้ ซึ่งนอกจากคนนี้เรายังมีข้อมูลของคนอื่น ๆ เข้ามา ได้พิกัดแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ว่าเราไม่เคยรู้เลยว่ามีขอทานคนจีนมาหากินในประเทศไทยแบบนี้เลย ซึ่งพอมารู้วันนี้ มันก็เริ่มผุดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่เราต้องตามหาต่อไปคือ คนที่อยู่เบื้องหลังของขบวนการนี้ เวลาเราสอบถาม เขาไม่ให้ข้อมูลเลย ยิ่งพยายามปาโทรศัพท์ให้แตก ยิ่งทำให้เราสงสัย ฝากประชาชนที่ติดตามข่าวว่า หลังจากนี้การทำบุญของท่านอาจจะต้องมีสติมากขึ้น ท่านอาจจะต้องตั้งคำถามแล้วว่าคนพวกนี้เขาถูกบังคับมา สมัครใจมา หรือมีคนใช้เขาเป็นเครื่องมือในการหาเงินหรือเปล่า
ส่วนเคสที่ สน.ลุมพินี คนนี้เป็นคนที่ 8 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวมาที่ สน.ลุมพินี จากการตรวจสอบพบว่ามานั่งขอทานครึ่งชั่วโมงได้เงินไป 900 บาท และเจ้าหน้าที่ก็ขยายผลไปที่บ้านยังพบเงินอีกจำนวนหลายพันบาทที่บ้าน.