จากกรณีที่ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. ที่ใช้อาวุธปืนปลิดชีพในบ้านพักย่านคูคต จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยสาเหตุอาจมาจากความเครียด ที่ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.กก.2 บก.ทล. หรือ สารวัตรแบงค์ ผู้ใต้บังคับบัญชาถูกนายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ หน่อง ท่าผา ลูกน้องคนสนิทของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตที่บ้านพักใน จ.นครปฐม ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไธสงค์ หรือ ผกก.เบิ้ม อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยมี น.ส.อรุณศรี วิชชาวุธ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง

นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. หรือ ผกก.เบิ้ม ตนมองเห็นหลายประเด็นที่น่าสนใจสงสัยคลางแคลงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องในวันที่ 10 ก.ย. ต่อเนื่องช่วงเช้ามืดวันที่ 11 ก.ย. ที่ได้ควบคุมตัว ผกก.เบิ้ม ชั่วคราวไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านเมืองทองธานี อาจเข้าข่ายมีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ หรือไม่ เพราะมีข้อสงสัยตามการรายงานของสื่อสารมวลชน หลายประเด็น เช่น ก่อนที่เจ้าตัวจะปลิดชีพตัวเอง ณ บ้านพักย่านคูคต จ.ปทุมธานี

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา ผกก.เบิ้ม ถูกพาตัวไปพักที่โรงแรมและถูกยึดโทรศัพท์มือถือ รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าหน้าห้องพักและบริเวณโรงแรมอีกด้วย กระทั่งเวลา 04.00 น. ผกก.เบิ้ม ต้องหนีกลับบ้านพักโดยออกทางบันไดหนีไฟ ดังนั้นถ้า ผกก.เบิ้ม ไม่ได้ถูกควบคุมตัว หรือถูกจำกัดเสรีภาพไว้ เหตุใดเจ้าตัวไม่ออกทางประตูโรงแรมปกติ แต่กลับออกทางประตูหนีไฟและโบกแท็กซี่ออกไปจากโรงแรม อีกทั้งตนอยากทราบว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มีการกระทำใดที่เข้าข่ายทำให้ ผกก.เบิ้ม รู้สึกทรมานแก่จิตใจหรือไม่เป็นการย่ำยีทรมานหรือไม่ โดยเฉพาะการพา ผกก.เบิ้ม ไปนอนพักที่โรงแรมไม่พากลับบ้านพัก ได้มีการแจ้งให้ญาติหรือครอบครัวเจ้าตัวทราบหรือไม่ มิเช่นนั้นจะถือเป็นการปกปิด ซึ่งจะเข้าตามการกระทำความผิดในมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ตนจึงประสงค์ให้ดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการเสียชีวิตของ ผกก.เบิ้ม ต้องยอมรับว่ามีส่วนโยงใยเกี่ยวพันกับส่วยรถบรรทุก โดยมีข้อมูลว่ามีมูลค่าการคอร์รัปชั่นสูงถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงข้อสงสัยของประชาชนจำนวนมาก ที่ยังมีต่อข้าราชการนายตำรวจระดับสูง เพราะเป็นคดีที่มีความซับซ้อน กระทบต่อความมั่นคง ดังนั้น หากลักษณะพฤติการณ์เข้าข่ายเกี่ยวพันไปกับเรื่องส่วยรถบรรทุก ทางดีเอสไอก็สามารถรับการสืบสวนดังกล่าวเป็นคดีพิเศษได้ ตนหวังว่าจะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพราะอย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่ผ่านมา กรณีของรถบรรทุกของเสี่ยบิ๊ก ได้เหยียบพื้นคอนกรีตบนถนนสุขุมวิท 64/1 จนพื้นทรุด กลับมีเจ้าที่ตำรวจระดับสูงรายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นบุคคลรับมอบหมายจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. แต่อย่างใด ได้ออกมายืนกรานว่า รถบรรทุกคันดังกล่าวพร้อมกับสติกเกอร์ อักษร B สีเขียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วยรถบรรทุก ซึ่งตนมองว่าเป็นการสรุปที่รวดเร็วเกินไป หากจะอ้างว่าเป็นสติกเกอร์ที่เกี่ยวกับเรื่องเสริมดวงชะตา ตนแนะนำว่าให้เปลี่ยนหมอดูใหม่ และเมื่อตำรวจไม่สามารถอยู่ในสถานะที่ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจได้ หรือสามารถอำนวยความยุติธรรมได้ คงต้องหวังพึ่งดีเอสไอในการจัดการเรื่องนี้

นายวิโรจน์ กล่าวถึงสาเหตุที่เข้ายื่นเรื่องในวันนี้ว่า ตนได้พิจารณาอย่างรอบคอบต่อ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งเป็นกฎหมายใหม่ มันสามารถทำให้เห็นได้ว่า กรณีการเสียชีวิตของ ผกก.เบิ้ม ที่ได้ถูกยึดโทรศัพท์มือถือ และยังถูกพาไปนอนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนหลบหนีออกทางช่องหนีไฟ และก่อเหตุปลิดชีพตัวเอง พอเอากฎหมายมาทบทวนมากางดู จึงมองว่ามันเข้าข่ายที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการคุมขังกักตัวไว้โดยไม่ชอบธรรม จึงต้องมาร้องทุกข์ในวันนี้ เพื่อให้ดีเอสไอตรวจสอบเชิงลึก และพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า ผกก.เบิ้ม ได้ถูกพาไปห้องพักที่โรงแรมแห่งนี้โดยสมัครใจหรือไม่ ทั้งต้องสืบสวนและสอบสวนถึงสาเหตุการยึดโทรศัพท์มือถือ และการให้ตำรวจเฝ้าหน้าห้อง ทั้งๆ ที่ก็เป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกัน

นายวิโรจน์ กล่าวยืนยันว่า อย่างไรตนก็ยังเชื่อในผลของการชันสูตรพลิกศพว่า เจ้าตัวก่อเหตุปลิดชีพตัวเองด้วยอาวุธปืน แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือสิ่งสำคัญ ว่ามีเรื่องใดไปมีผลต่อการสร้างความทรมานต่อจิตใจหรือเป็นไปโดยกดดันอย่างมากหรือไม่ เพราะหากมองเรื่องการถูกติติงของเพื่อนร่วมงานที่เป็นสาเหตุของการพาสารวัตรแบงค์ไปเสียชีวิต ตนมองว่าอาจจะไม่ได้มีผลหรือเป็นชนวนเหตุขนาดนั้น แต่ตนมองในเรื่องของรายละเอียดทางคดีมากกว่า ว่ามีการปกปิดข้อเท็จจริงหรือข้อมูลในเรื่องอื่น ทั้งนี้ สำหรับประเด็นที่ตนมายื่นร้องทุกข์ต่อดีเอสไอในวันนี้ ตนยังไม่เคยมีการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสาเหตุทั้งหมด จึงขอให้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอดำเนินการแทน และขอให้ดีเอสไอไปค้นหาพยานหลักฐาน พวกภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม สำหรับใช้ในการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง เพราะอายุความไม่ได้มีการจำกัดไว้ และต้องให้ความเป็นธรรมต่อบุคคลที่ถูกทรมาน.