เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่กองกำกับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังเข้าจับกุม น.ส.ธิดาวรรณ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงฯ เด็กนักเรียนสาว ที่ชิงทองจนเป็นเหตุให้ไปก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองตามที่ปรากฏเป็นข่าวที่ผ่านมา ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ สามารถขยายผลเข้าจับกุม น.ส.ณิฐชมนต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ได้ในโรงแรมหรู กลางเมืองย่านอโศก หลังหลบหนีออกจากคอนโดฯหรูย่านบางนา หลังทราบข่าวว่าเพื่อนร่วมเครือข่ายโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีไปแล้ว

พ.ต.อ.ณัฐภณ จินตะนานุช ผกก 3 บก.สอท 2 กล่าวว่า หลังตำรวจไซเบอร์สามารถจับกุม น.ส.ธัญญ์นภัส ผู้ต้องหารายแรกได้ ก็มีการสอบปากคำขยายผลจนผู้ต้องหายอมซัดทอดให้ข้อมูลว่ามี น.ส.ณิฐชมนต์ เป็นผู้ร่วมขบวนการอีก 1 ราย ที่ทำหน้าที่เปิดไอจี และคอยเคลียร์หากมีผู้เสียหายไม่ยอมและเข้าแจ้งความ ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 รายรู้จักกันตั้งแต่ปี 2562 และน.ส.ธัญญ์นภัส (สงวนนามสกุล) เป็นลูกหนี้ ของน.ส.ณิฐชมนต์ และติดหนี้ก้อนใหญ่ จนเริ่มมีความคิดที่จะหาเงินมาใช้หนี้ น.ส.ธัญญ์นภัส จึงวางแผนและให้ น.ส.ณิฐชมนต์ ทำหน้าที่เปิดไอจีเพื่อเป็นช่องทางในการหลอกลวง และเป็นแอดมิน เพื่อคอยดูแลไอจี

ส่วน น.ส.ธัญญ์นภัส จะทำหน้าที่การตลาดหลอกลวงลูกค้า ซึ่งเบื้องต้น จากการตรวจสอบตัว น.ส.ธัญญ์นภัส ยังไม่พบสมุดบัญชี ที่เชื่อมโยงแต่รับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในการก่อเหตุ 2 วงแชร์ ได้รับเงินส่วนแบ่ง จำนวน 4 แสนบาท ซึ่งเงินทั้งหมดได้นำไปใช้จ่ายทั่วไปหมดแล้ว จากการแกะรอยของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ ต้องใช้วิธีแกะรอยจากแกร็บคาร์ที่ผู้ต้องหาเรียกมารับที่คอนโดฯหรู เพื่อใช้หลบหนีไปที่โรงแรมย่านอโศก ก่อนจะรวบรวมหลักฐานและขอหมายจับจนนำไปสู่การจับกุมตัวในครั้งนี้ ขณะที่ดำเนินการต่อไปของเจ้าหน้าที่ อยู่ระหว่างการขอรายการเดินบัญชีของผู้ต้องหาทั้งหมดจากสถาบันทางเงินอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่ามีการรับโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงมามากน้อยเท่าใด