เมื่อเมืองใหญ่คือศูนย์กลางของทั้งการเรียนรู้ และอาชีพหลากหลาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “นุ” กับครู สอญอ-สัญญา มัครินทร์ สองผู้ร่วมก่อการแห่ง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเที่ยววิถีสีชมพู” อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น จะนำประสบการณ์ที่เคยได้ไปใช้ชีวิตในต่างถิ่น กลับมาพัฒนาชุมชนบ้านเกิด หลังจากกลับมาพบและมองเห็นความงดงาม ที่น่าจะต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวได้ จึงชักชวนกันร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชน
จากจุดเริ่มต้นที่อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการสื่อสาร โดยถ่ายภาพสถานที่ภายในชุมชนในมุมต่าง ๆ เผยแพร่ออกไป พร้อมกับชักชวนเพื่อน ๆ มาเที่ยวบ้านและถอดบทเรียน จากนั้นจึงเริ่มเข้าหาชุมชนด้วยการเกาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยรุ่นพ่อและแม่ที่พร้อมจะร่วมอุดมการณ์ จนที่สุดเกิดเป็น “กลุ่มเที่ยววิถีสีชมพู” ที่กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ซึ่งอัปเกรดจัดตั้งเป็น “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเที่ยววิถีสีชมพู” ในวันนี้หลังจากมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเที่ยววิถีสีชมพู เป็นหนึ่งในตัวอย่างของชุมชนที่มีการจัดการการท่องเที่ยวในแบบที่ยังคงวิถีดั้งเดิม คงสภาพแวดล้อมในฐานะชุมชนเกษตรของภาคอีสาน เป็นวิถีบ้านนอกที่อยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุลและกลมกลืน ทั้งยังร่วมใจกันรักษาวิถีดั้งเดิมเหล่านั้นไว้ เพื่อให้รากยังคงยึดแน่น กิ่ง ก้าน ใบ ยังคงแตกหน่อ และออกดอกผลที่งดงามต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น
นอกจากการท่องเที่ยวเชิงเกษตรแล้ว กิจกรรมในชุมชนยังมีหลากหลายสไตล์ ทั้งความสวยงามอลังการของทุ่งนา ป่า เขา ที่เอาใจสายชิล หรือสายแอดเวนเจอร์ เริ่มด้วยการเปิดประสบการณ์หาวัตถุดิบในชุมชนมาประกอบอาหารและรับประทานมื้อเที่ยงร่วมกัน ณ “ยายตา at home” พร้อมนอนพักผ่อนในบรรยากาศสบาย ๆ
อิ่มท้องแล้วไปสนุกกับกิจกรรม Soft adventure แบบ Low Carbon ณ “อ่างเก็บน้ำบ้านผาขาม” ลุยพายซับบอร์ด เล่นน้ำ ชมพระอาทิตย์อัสดงลงหลังเขา โดย “โครงการอ่างเก็บน้ำบ้านผาขาม” เป็นโครงการพระราชดำริในพระองค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก่อสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีน้ำใช้ในการอุปโภค-บริโภค ตลอดทั้งปี และใช้ในการเกษตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529
ก่อนจะไปร่วมกิจกรรมของ “ไร่ภัทราวรินทร์ Cafè& Camp” นั่งรถอีเเต๊ก ชมวิถีชีวิตแบบธรรมชาติวิวภูผาหินทอดยาว พร้อมฟังเรื่องราวในชุมชนจากคนในพื้นที่ ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีพร้อมทั้งที่พัก อาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร มีสวนสตรอเบอร์รี่ให้นักท่องเที่ยวได้เก็บสตรอเบอร์รี่สด ๆ ช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคมของทุกปี
แล้วไปชมความงามของภูเขาหินปูนที่มีมุมถ่ายภาพและมีปากปล่องเหมือนภูเขาไฟ “ผาเจาะ” ตบท้ายด้วยกิจกรรม “ห้องเรียนธรรมชาติ” ตะลุยลำธารทำงานศิลปะ (หินสี) เรียนรู้การนำหินจากลำธารมาทำงานศิลปะ พร้อมฝึกทำจิตใจให้สงบอยู่กับธรรมชาติลำธารน้ำไหลสร้างสรรค์งานศิลปะ ที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สอบถามข้อมูลได้ที่ Facebook Page : เที่ยววิถีสีชมพู
ในพื้นที่ อ.สีชมพู ยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงอย่าง “วัดถ้ำแสงธรรม” วัดที่สร้างติดกับภูเขาหินปูนอายุกว่า 250 ล้านปี ตั้งอยู่ในตำบลดงลาน พระอาจารย์เสงี่ยม หรือ หลวงปู่ ได้เริ่มปรับปรุงสภาพถ้ำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 โดยมาจำพรรษาอยู่ ณ ถ้ำแห่งนี้ และร่วมกับศิษย์ ญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ด้านนอกและภายในถ้ำ โดยการสกัดก้อนหิน สลับกับการสร้างให้มีความมั่นคงด้วยการเทคอนกรีต ขัดหินอ่อนให้เป็นที่อยู่อาศัยและปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ ภายในวัดแบ่งเป็น 7 ชั้น โดยต้องเดินเท้าขึ้นบันไดเพื่อไปยังชั้นต่าง ๆ จุดสำคัญของวัดคือ รอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่ที่ชั้น 7 และนักท่องเที่ยวยังสามารถชมวิวรอบวัดได้แบบ 360 องศา
อีกแห่งไม่ไกลกันคือ “วัดถ้ำผาเจาะ” วัดป่าสายกรรมฐานที่มีความเงียบสงบ ภายในวัดมีถ้ำผาเจาะซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดร้อยขั้น และจะเจอกับหน้าผาเป็นหินซับซ้อน ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง
มาเยือนถึงถิ่นสีชมพูแล้ว ห้ามพลาดการลิ้มลองอาหารถิ่น ไม่ว่าจะเป็น “กุ้งเต้น” กุ้งฝอยสด ๆ เป็น ๆ ที่จะกระโดดทันทีที่ถูกราดด้วยน้ำยำรสลาบจนเป็นที่มาของชื่อ รสชาติเปรี้ยว เค็มนิด นัว ๆ หอมกลิ่นผักชี ต้นหอม ทานกับผักแกล้มหลากหลายชนิด เช่น แตงกวา พริกสด มะตูมแขก ดีปลาช่อน และผักพื้นบ้านอีกมากมาย
อีกหนึ่งเมนูน่าลอง “หลามปลา” ที่ใช้วัตถุดิบเป็นปลาได้ทุกชนิด ถ้าตัวใหญ่ให้นำมาสับเป็นชิ้นเล็กเพื่อให้สามารถยัดลงในกระบอกไม้ไผ่ได้ นำมาผสมผสานคลุกเคล้ากับน้ำปรุงรสให้เข้ากัน ก่อนจะยัดลงในไม้ไผ่ ปิดฝาด้วยใบตอง จากนั้นนำไปเผาให้สุก แล้วก็เทออกจากกระบอกไม้ไผ่ จะได้รสชาติปลาหลามที่มีกลิ่นของไม้ไผ่ติดมาด้วย
ส่วน “หมกหน่อไม้” เป็นเมนูอาหารท้องถิ่นที่ใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นประจำ เพราะหาได้ง่ายในชุมชน ส่วนผสมหลัก ๆ คือ หน่อไม้เส้น หมูสามชั้นหรือไก่ก็ได้ น้ำย่านาง ใบแมงลัก คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน ห่อใส่ใบตองแล้วนำไปนึ่งจนสุก เสิร์ฟร้อน ๆ กับข้าวเหนียว ขณะที่เมนู “ต้มไก่บ้าน” เป็นเมนูต้อนรับเพื่อนพี่น้องญาติสนิทมิตรสหายของชาวบ้าน โดยนำไก่บ้านที่เลี้ยงไว้มาประกอบอาหาร
ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง “ข้าวปาด” ขนมที่ทำจากข้าวโพดอาหารสัตว์ วัตถุดิบหาได้ง่ายในท้องถิ่น ใช้ฝักที่กำลังจะแก่ นำมาฝานแล้วตำเพื่อคั้นเอาน้ำข้าวโพด จากนั้นใส่กะทิ น้ำตาลทราย เกลือเล็กน้อย แล้วนำไปกวนด้วยไฟอ่อน ๆ จนสุก เทใส่ถาด หรือพิมพ์ทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยมะพร้าว มีรสชาติหวานมัน หอมกลิ่นข้าวโพด
จาก อ.สีชมพู ยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปยัง อ.ภูผาม่านที่อยู่ติดกันได้ด้วย ในพื้นที่มี “อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน” เป็นหนึ่งในไฮไลต์ ด้วยสภาพพื้นที่ที่มีหน้าผาสูงชันคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองดูเหมือนกับผ้าม่านผืนใหญ่จึงเป็นที่มาของชื่อ สภาพป่ายังอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าดิบและป่าไม้เบญจพรรณ มีอากาศเย็นชื้นเกือบตลอดทั้งปี ทำให้เป็นหนึ่งในจุดหมายของสายแคมป์ที่มักจะมากางเต็นท์เพื่อสัมผัสความหนาวเย็น พร้อมกับรอชมพระอาทิตย์ขึ้นและไอหมอกสีขาวยามเช้าตรู่
ภายในพื้นที่อุทยานฯ มี “ถ้ำภูตาหลอ” ถ้ำที่โอ่โถง เพดานมีหินงอกหินย้อยซึ่งยังอยู่ในสภาพที่เป็นธรรมชาติ ระยิบระยับราวกับแสงเพชรยามต้องกับแสงไฟที่สาดส่อง พื้นถ้ำเป็นดินเรียบ อากาศภายในเย็นสบาย ตั้งอยู่ที่บ้านวังสวาบ รถยนต์เข้าถึงได้เฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น
ขณะที่ “ถ้ำค้างคาว” ตั้งอยู่บนภูผาม่านบริเวณหน้า ผาด้านหน้า สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 100 เมตร มองเห็นปากถ้ำได้แต่ไกล ภายในถ้ำมีค้างคาวขนาดเล็กอาศัยอยู่นับล้านตัว ทุกวันจะบินออกจากถ้ำในเวลาเย็นเป็นกลุ่มยาวนับสิบกิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที นักท่องเที่ยวสามารถชมฝูงค้างคาวนับล้านบินออกหากินยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้ทุกวัน
มาถึงภูผาม่านแล้วห้ามพลาด “จุดชมวิวหนองสมอ” จุดเช็กอินใหม่ 1 ใน Unseen New Chapters ของภาคอีสาน ชมภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ที่ตั้งเด่นสง่าสวยงาม มีวิวผาม่านทอดยาวลงผืนน้ำ สนุกกับกิจกรรมไฮไลต์อย่างการล่องเรือชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางวิถีชีวิตยามเช้าของชาว “หนองสมอ” หรือจะพายเรือชมวิว จิบกาแฟ แลผืนน้ำดูเงาสะท้อนของภูผาม่านที่ฉาบลงบนผืนน้ำขนาด 400 ไร่ในช่วงเย็น ถือเป็นมุมลับของนักเดินทางสายดริปกาแฟที่เชื่อว่า ใครเห็นก็ต้องอยากแวะมาจิบกาแฟที่นี่ดูสักครั้ง ฤดูกาลที่เหมาะกับการท่องเที่ยว คือ ฤดูฝน และฤดูหนาว
ออกไปเรียนรู้ สัมผัสวิถีชุมชนอันสงบ เรียบง่าย และยังคงรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมอย่าง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเที่ยววิถีสีชมพู” ชุมชนต้นแบบที่ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว หากแต่ยังคงวิถีชุมชนเกษตรกรรมแบบยั่งยืนที่ดูแลรักษาสภาพแวดล้อมให้คงอยู่ดังเดิมไปพร้อมกัน
สอบถามข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มเติมที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานขอนแก่น โทร. 0-4322-7714-5 Facebook Page : ททท.สำนักงานขอนแก่น TAT Khonkaen Fanpage