เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ที่สำนักงานสายไหมต้องรอด พ่อของลูกสาวนักศึกษาปริญญาโท เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษา รมว.มหาดไทย และในฐานะผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เพื่อขอความเป็นธรรม หลังลูกสาวพักอาศัยอยู่ที่แมนชั่น บริเวณโชคชัย 4 ตามลำพัง คืนวันที่ 13 ธ.ค.66 ปรากฏมีคนเมาบุกเคาะห้องลูกสาวเสียงดังพร้อมตะโกนด่าและพยายามพังประตู ทำให้ลูกสาวตกใจปีนหน้าต่างหลังห้องหลบหนี แต่พลัดตกลงมาจากชั้น 6 เสียชีวิต

นายเอกภพ กล่าวว่า น้องผู้เสียชีวิต ตกตึกในวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันน้องเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนจะจบและได้รับ ดร. โดยน้องพักอาศัยอยู่ที่แมนชั่นแห่งนี้ไม่นาน วันเกิดเหตุชายรายหนึ่งซึ่งเป็นสามีของผู้จัดการแมนชั่น ได้ขึ้นไปเคาะประตูห้องดังมากและใช้ถ้อยคำส่งเสียงดังโวยวาย เพราะเข้าใจไปว่าน้องผู้เสียชีวิตได้ไปจอดรถมอเตอร์ไซค์ทับที่จอดของตัวเอง เนื่องจากรับฟังมาจากแม่บ้านผู้ดูแลแมนชั่นว่า มอเตอร์ไซค์ที่มาจอดอาจเป็นของห้องพักผู้เสียชีวิตดังกล่าว

นอกจากนี้ในช่วงเกิดเหตุ น้องพักอยู่ชั้น 6 แต่เพื่อนของน้องที่อยู่ชั้น 3 ก็ได้ยินเสียงดังเช่นกัน ทำให้น้องรีบแชตข้อความบอกเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 ให้ช่วยเหลือ แต่เพื่อนยังไม่กล้าขึ้นไปช่วยเพราะเกรงว่าผู้ก่อเหตุอาจมีอาวุธ จึงรีบลงไปที่ชั้น 1 เพื่อเรียก รปภ. แต่ระหว่างนั้นน้องกลัวพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุจะพังห้องเข้ามาจึงอยากหนีออกไป ด้วยการปีนระเบียงหลังห้องจะข้ามไปยังห้องข้างๆ แต่ท้ายสุดพลัดตกตึกจากห้องพักชั้น 6 กระแทกผ่านหลังคาโรงจอดรถลงมายังพื้นชั้นล่าง ซึ่งเพื่อนและรปภ. ที่เตรียมจะขึ้นไปหาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก

นายเอกภพ กล่าวด้วยว่า ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้ก่อเหตุพบว่า มีอาการมึนเมาคล้ายคนดื่มสุรา แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้มีการตรวจเรื่องสารเสพติด และล่าสุดทราบว่าทางผู้ก่อเหตุได้กล่าวขอโทษกับแม่ของน้อง แต่ไม่ได้มีการพูดเรื่องการเยียวยาช่วยเหลือใดๆ อีกทั้งประการสำคัญคือ ที่มีการจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ สรุปแล้วไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ของน้องผู้เสียชีวิต แต่เป็นมอเตอร์ไซค์ของคนอื่น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะมอเตอร์ไซค์ของน้องจอดอยู่ที่ต่างจังหวัด รวมถึงการดำเนินคดีมีเพียง 3 ข้อหา คือ ความผิดฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ความผิดฐานผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน และความผิดฐานผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ แต่กลับไม่มีการพิจารณาเเจ้งข้อหา ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพราะน้องพลัดตกตึกโดยมีมูลเหตุจากการถูกเคาะห้องรัวๆ เสียงดัง และผู้เสียชีวิตตกใจ ซึ่งในระหว่างเกิดเหตุน้องผู้เสียชีวิตไม่ได้มีการตอบโต้กับทางผู้ก่อเหตุที่มาเคาะห้อง มีเพียงการส่งข้อความทาง Messenger ใน Facebook แจ้งกับเพื่อนที่อยู่ชั้น 3 เท่านั้น

“ตนมองว่าในเรื่องนี้จะต้องมีการรื้อสำนวนคดี เเละต้องมีการสอบปากคำพยานแวดล้อมว่าเสียงในคืนเกิดเหตุดังมากแค่ไหน เพราะการเสียชีวิตของน้อง ถือเป็นพฤติกรรมความประมาทของผู้ก่อเหตุที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ไม่อย่างนั้นลอยนวลเพราะรับแค่ 3 ข้อหาเบาๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ตนได้ประสานไปยัง พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ รอง ผบช.น. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากพบว่าการเสียชีวิตของน้องเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุหรือใครก็ตาม ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาหนักที่สุด ซึ่งล่าสุดทาง พล.ต.ต.มานพ ได้สั่งให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ทำการวิเคราะห์สำนวน เพื่อตรวจสอบให้ถี่ถ้วนว่าการเสียชีวิตของนักศึกษาปริญญาโท เกิดจากมูลเหตุที่ผู้ก่อเหตุเคาะห้องส่งเสียงดังและโวยวายจึงเป็นเหตุให้น้องตกใจจนตัดสินใจหลบหนีและเสียชีวิต และให้พิจารณาความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องว่าพบอีกหรือไม่” นายเอกภพ กล่าว

ด้านพ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกสาวเป็นคนกลัวเสียงดังมาตั้งแต่เด็ก และหลังจากนั้นก็เข้ามาที่กรุงเทพฯ เป็นนักศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรี และศึกษาต่อระดับปริญญาโท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจบปริญญาเอก จากสิ่งที่เกิดขึ้นตนเสียใจอย่างยิ่ง ตนมีลูกสาวที่เรียนเก่งและเป็นนักเรียนทุน แต่กลับต้องเสียชีวิตจากการกระทำของคนที่ขาดสติมึนเมาเพราะความเข้าใจผิดว่าลูกสาวไปจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ อีกทั้งตนมองว่าผู้ก่อเหตุมีลักษณะคล้ายคนดื่มสุรา แต่กลับไม่มีการตรวจสารเสพติดในเส้นผมเพราะมองว่าแค่เรื่องมูลเหตุการจอดทับที่มอเตอร์ไซค์ทำไมจึงต้องมีการคลุ้มคลั่งขนาดนั้น และท้ายที่สุดมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวก็ไม่ใช่ของลูกสาวตนแต่อย่างใด ทั้งนี้ตนอยากให้ทางผู้ก่อเหตุมีจิตสำนึกบ้าง และประสงค์ให้ตำรวจช่วยดำเนินคดีให้ครอบคลุมทั้งหมด.