จากกรณีที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นำโดย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน นำทีมเปิดประชุมนัดแรก ภายหลังดำเนินคดีพิเศษที่ 59/2566 ขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบ หรือคดีหมูเถื่อน 161 ตู้ และขยายผลจนรับเป็นคดีพิเศษเพิ่มเติมอีก 2 คดี เพื่อวางกรอบแนวทางการสอบสวนถึงกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อนต่างๆ เมื่อปี 2564 ทั้งเนื้อหมูเถื่อน เนื้อวัวเถื่อน และตีนไก่สวมสิทธิ ด้วยวิธีการสำแดงเท็จเป็นสินค้าประมงและพลาสติก เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี เบื้องต้นพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมากจากหลายวงการเข้ามาพัวพัน อาทิ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง บริษัทชิปปิ้งเอกชน และนักธุรกิจชาวจีน ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 3 ม.ค. ที่ห้องประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อน ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 2 ประตู 3 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ออกมาเปิดเผยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมกว่า 1 ชม. ว่า ในวันนี้เราได้มีการประชุมรับเป็นคดีพิเศษใหม่เพิ่มเติมอีก 2 คดี ประกอบด้วย คดีพิเศษที่ 126/2566 กรณีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และได้นำออกไปจำหน่ายตามท้องตลาดแล้ว และคดีพิเศษที่ 127/2566

กรณีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคดีพิเศษที่ 126/2566 เราพบว่าในกลุ่มบริษัทชิปปิ้งเอกชน 10 แห่งที่ได้ดำเนินคดีไปแล้วนั้น ได้มีการนำตู้คอนเทเนอร์ ออกไปก่อนหน้านี้ จำนวน 2,388 ตู้ โดยเป็นการสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าประเภทเนื้อปลาแช่แข็ง พลาสติกพอลิเมอร์ และไข่ต้มสุก ซึ่งดีเอสไอจะไปพิสูจน์ว่าตู้คอนเทเนอร์เหล่านี้ ที่ถูกนำออกไปแล้วแท้จริงเป็นตู้สินค้าประเภทใด และได้มีการสำแดงก่อนออกจากท่าเรือเป็นสินค้าประเภทใด โดยคดีพิเศษที่ 126/2566 นี้เป็นการขยายผลมาจากคดีพิเศษที่ 59/2566 หรือคดีหมูเถื่อน 161 ตู้

ส่วนอีกคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับเพิ่มในวันนี้ คือ คดีพิเศษที่ 127/2566 โดยหลักๆ จะดำเนินคดีกับขบวนการองค์กรอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและอาชีพของเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่กลุ่มใหม่ เกี่ยวข้องกับตู้คอนเทเนอร์บรรจุเนื้อสัตว์เถื่อนต่างๆ กว่า 10,000 ตู้ และเป็นกลุ่มที่ดีเอสไอไม่เคยดำเนินคดีมาก่อน ได้แก่ กลุ่มนายทุนชาวไทยชาวจีน บริษัทชิปปิ้งเอกชน หน้าเสื่อ เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง พบว่ามีการลักลอบนำเข้าตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสุกรแช่แข็ง เนื้อวัวแช่แข็ง ชิ้นส่วนไก่ ซึ่งเราจะดำเนินการตรวจสอบต่อไป

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า ในกลุ่มคดีพิเศษที่ 126/2566 เราพบกลุ่มที่เกี่ยวข้องเบื้องต้น 9 บริษัท โดยเป็นกลุ่มเดิมที่ดีเอสไอเคยดำเนินการทางคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว และได้นำตู้คอนเทเนอร์ออกไปจัดจำหน่ายเรียบร้อย ประกอบด้วย 1.บริษัท อาร์.ที.เอ็นโอเวอร์ซี จำกัด 2.บริษัท เดอะ คิวบ์ โลจิสติกส์ 3.บริษัท ซี เวิร์ล โฟรเซ่น ฟูด 4.บริษัท มายเฮ้าส์ เทรดดิ้ง จำกัด 5.บริษัท เรนโบว์ กรุ๊ป จำกัด 6.บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด 7.บริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด 8.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหัสวรรษ ฟูดส์ และ 9.ห้างหุ้นส่วนจำกัด กันตา ไทยโฟรเซ่นฟิช มีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึงอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้องในขั้นตอนการนำเข้าและส่งออก รวมแล้วอาจมากกว่า 10 ราย เพราะในคดีก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกว่า 13 ราย

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า  ส่วนในกลุ่มคดีพิเศษที่ 127/2566 คาดว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องจากหลายแวดวงจำนวนมาก และเราได้มีการแบ่งหน้าที่กันในทีมเพื่อไปตรวจสอบว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง รวมถึงได้ประสานไปยัง ปปง. เพื่อขอตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะพบว่าในกลุ่มนี้ได้มีการโอนเงินออกไปยังบริษัทจำหน่ายชิ้นส่วนเนื้อสัตว์แช่แข็งในต่างประเทศ อีกทั้งมั่นใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหลายรายแน่นอน เพราะจำนวนตู้คอนเทเนอร์นั้นมากกว่า 10,000 ตู้ ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว และชิ้นส่วนไก่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ดีเอสไอดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้อาจมาเกี่ยวข้องด้วย แต่เราจะต้องดูด้วยว่ากลุ่มที่กระทำผิดได้ใช้เจ้าหน้าที่รัฐรายใดบ้าง เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอได้ประจักษ์พยานสำคัญในคดีเข้าให้ข้อมูลพอสมควร เราจึงพบว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐรายใดบ้าง

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวถึงมูลค่าความเสียหายว่า ในคดีพิเศษที่ 127/2566 นี้ เบื้องต้นพบมูลค่าความเสียหาย 6,000-7,000 ล้านบาท เพราะหากคำนวณจากจำนวนตู้คอนเทเนอร์กว่า 10,000 ตู้ ความเสียหาย 1 ตู้ ก็ตกประมาณ 1,000,000 บาทแล้ว ส่วนจำนวนตู้คอนเทเนอร์ จะเป็นสินค้าประเภทใดบ้าง อยู่ระหว่างการตรวจสอบ  แต่แน่ชัดว่ามีการสำแดงเท็จจริง ส่วนหลังจากนี้ตลอดสัปดาห์ เราจะเชิญพยานเข้าให้ถ้อยคำ 4 ราย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย และบริษัทชิปปิ้งเอกชน 2 ราย และจะให้ทาง ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย

พ.ต.ต.ณฐพล กล่าวว่า ส่วนอีก 2 สำนวนคดีที่เตรียมส่ง ป.ป.ช. นั้น เราได้เสนอให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ และในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีฯ ตรวจสอบแล้ว คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะนำส่งได้

ทั้งนี้ วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นคดีใหม่อีก 2 คดี เราก็เน้นตรวจสอบการนำเข้า วิธีการนำเข้า โควตาที่แต่ละบริษัทได้รับ และบริษัทชิปปิ้งเอกชนที่เกี่ยวข้อง เราก็จะทยอยสอบปากคำ ส่วนการทำลายพยานหลักฐาน ยังไม่พบ เพราะทุกอย่างจะปรากฏด้วยพยานหลักฐาน เช่น ใบบีแอล หรือ Bill of Lading (B/L) หรือที่เรียกกันว่าใบตราส่งสินค้า และหลักฐานการเคลื่อนย้ายต่างๆ และเนื่องด้วยเป็นตู้ที่ออกไปแล้ว เราจึงจะใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี คือ GPS TRACKING เพื่อตรวจสอบว่ารถขนสินค้าได้ออกจากท่าเรือต่างๆ ไปหยุดที่จุดไหน และแต่ละจุดนานเท่าใด และถ้าพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใครบ้าง เราก็จะไม่ละเว้น พร้อมดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งในกลุ่ม 10,000 กว่าตู้นี้ พบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 หน่วย คือ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง ก็ต้องไปตรวจสอบว่ามีใครบ้างระดับใด ส่วนนักการเมือง ก็จะต้องตรวจสอบเช่นเดียวกัน ว่าจะเชื่อมโยงถึงระดับอธิบดีกรม หรือรัฐมนตรีหรือไม่ ทุกอย่างต้องดูพยานหลักฐานประกอบคำให้การของพยานและผู้ต้องหาทั้งหมดก่อน.