ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าพอต้นปีหรือปลายปีของแต่ละ พ.ศ. ทีไร ประเด็นยอดฮิตนอกจากการเลิกหรือรักของคนในวงการบันเทิง ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการต่อไม่ต่อสัญญาของนักแสดงช่องใหญ่ๆ หลายๆ ช่องในเมืองไทย และก็เป็นที่น่าสนใจและน่าตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการบันเทิงไทยมี “ดารา-นักแสดง” ที่มีสังกัดและเป็นสังกัดใหญ่ๆ ทยอยหมดสัญญาและขอเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หลายคนคิดเสียว่าหรือวงการบันเทิงจะเป็นโรคสมองไหลเหมือนกับอาชีพอื่นๆ

ล่าสุดก็เป็นคิวของนางเอกดัง มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง ที่ล่าสุดออกมายอมรับว่าไม่ได้ต่อสัญญากับช่อง 3 แล้ว แต่เป็นเหมือนสัญญาใจและยังคงมีงานกับช่อง 3 อยู่ โดยสาวมิ้นต์เล่าว่า “มิ้นต์อยู่กับช่อง 3 มา 18 ปีแล้ว เรื่องสัญญาแทบไม่ต้องพูดถึงแล้วเนอะ (ยิ้ม) เหมือนเป็นครอบครัวไปแล้วค่ะ จริงๆ ไม่ได้ต่อสัญญามาสักพักแล้วค่ะ ส่วนละครหลังๆ เขาเปิดน้อยลง บวกกับว่ามิ้นต์หมดสัญญามาสักพัก แต่ก็ยังมีละครเปิดใหม่แล้วฉายไป เขาเอาไปออนแพลตฟอร์มออนไลน์ก่อน ปีนี้จะมาออนบนช่อง 3 ส่วนที่ไม่ได้ต่อสัญญาเพราะว่าพอโตขึ้นจุดโฟกัสหลายปีที่ผ่านมาอยู่กับธุรกิจ มีโปรเจกต์เยอะมากค่ะ บางงานเลยไม่สามารถทำให้เขาได้เหมือนเดิม แต่ก็ยังเรียกใช้กันเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมค่ะ ถามว่างานต่างจากตอนมีสัญญาไหม เหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ จริงๆ มิ้นต์อยู่ช่องมาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ทุกคนก็เลยถามกันมานาน จริงๆ ก็มีหลายค่ายติดต่อมา ตอนนี้มิ้นต์ลงแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่งปิดกล้องไป ก็จะออนเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่างที่มิ้นต์บอกว่าอยากทำงานที่หลากหลายมากขึ้น แล้วก็มีความท้าทายมากขึ้น มันคือโจทย์ของมิ้นต์ในปีที่ผ่านมา ก็เลนมีทั้งละครกับ นนกุล (นนกุล ชานน) กับทางช่อง3 ด้วย แล้วก็มีซีรีส์ที่เพิ่งปิดไปค่ะ”

“เรื่องการสะดวกใจไม่ต่อสัญญา อย่างที่มิ้นต์บอกเลยค่ะ ด้วยความที่โฟกัสมิ้นต์เปลี่ยนไปเยอะมากๆ ทั้งธุรกิจที่ทำเอง โปรเจกต์ที่ทำกับ 411 (โฟร์วันวัน) ด้วยก็คือเยอะมาก บางทีเราไม่มีเวลาไปเล่นละครครั้งละ 2 เรื่องต่อปี เพราะเหมือนว่าเรากำลังก่อร่างสร้างตัว ต้องทำธุรกิจที่มากขึ้นกว่าเดิม แต่มิ้นต์ไม่ได้เฟดออกจากวงการค่ะ แต่ว่าเลือกรับงานที่คิดว่ายังไม่เคยทำ แล้วก็เป็นงานที่ท้าทาย แล้วก็ได้รับโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนละครเดี๋ยวนี่การถ่ายทำเรื่องหนึ่งก็ 8 เดือนแล้ว สมัยก่อนที่มิ้นต์เล่นปีหนึ่ง 2-3 เรื่อง แรงเรายังมีค่ะ (หัวเราะ) ตอนนี้ไม่สามารถวิ่ง 7 วันได้อีกแล้ว อย่างการมองว่ามิ้นต์น้อยใจผู้ใหญ่เลยไม่ต่อสัญญา อันนี้ไม่มีอะไรที่ต้องน้อยใจเลยค่ะ ช่อง 3 เป็นเหมือนบ้าน อยู่มาเกินครึ่งชีวิตแล้วด้วยซ้ำ ผู้ใหญ่ก็น่ารัก ทุกคนยังให้ความเอ็นดู ยังพูดคุย กินข้าว เจอกันปกติค่ะ ทุกอย่างเหมือนเดิม”

ขณะที่หนุ่มหน้าใสที่ออกมาประกาศแบบช็อกหัวใจแฟนๆ ว่าขอเป็นอิสระ ยังไม่ได้เซ็นค่ายไหนอย่างหนุ่มหล่อมาดเกรียน บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ก็ไม่พลาดเล่าถึงการคิดหนักก่อนขอเป็นนักแสดงอิสระก่อนหน้านี้ว่า “ตอนนี้หมดสัญญาช่องแล้ว ก็ไม่ได้คุยกันแล้ว ไม่ได้ต่อสัญญา ก็เป็นฟรีแลนซ์ไป คุยตกลงกันเรียบร้อย สำหรับผมแล้วช่อง 3 เป็นทุกอย่างของผมเหมือนกัน เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง การที่มีทุกวันนี้ได้หลักๆ ก็เพราะช่อง 3 ดูแลผม ให้โอกาสผม แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของอายุด้วย เรามีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่ต้องทำมากขึ้น ต้องรับผิดชอบมากขึ้น แล้วก็อยากไปลองอะไรใหม่ๆ บ้าง รวมๆ ก็ประมาณนี้เองครับ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย ถามว่าตัดสินใจยากมั้ย ความจริงก็มีคุยกับที่บ้านด้วย คุยกับผู้ใหญ่ที่ช่องด้วย ก็เลยออกมาประมาณนี้ แต่คือเราก็เป็นฟรีแลนซ์ และถ้าทางช่อง 3 เขายังให้โอกาสผม หรืออยากจะเรียกผมไปทำงานอะไรก็ยินดีเสมอ อย่างล่าสุดผมหมดสัญญาแล้ว เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เบลล่า (ราณี แคมเปน) จัดแฟนมีต ซึ่งช่องเป็นคนจัด ผมก็ไปเป็นแขกรับเชิญ ก็ไปทำได้ ผมอยู่ช่อง 3 มา 15 ปีครับ เล่นหนังเรื่องหนึ่งแล้วก็เข้าช่อง 3 เลย หลังจากนี้ผมว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิมนะ คือแค่จากเราเคยมีสังกัด มาเป็นไม่มีสังกัด แล้วก็อาจจะได้ไปเจอผมในช่องทางอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่ว่าเรื่องของการทำงาน การแพลนชีวิต ผมไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิมเลย เพราะงานของผมก็ยังเป็นการแสดงเหมือนเดิม ยังออกอีเวนต์ ถ่ายโฆษณาเหมือนเดิม การใช้ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน”

“ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อมา เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีใครรู้ เลยยังไม่มีใครติดต่อมา เอาเป็นว่าผมก็คงไม่ได้ไปเซ็นกับที่ไหน ผมเป็นฟรีแลนซ์นี่แหละ แต่ถ้าจะได้ดูกันปีหน้าก็มีซีรีส์เรื่องหนึ่ง หนังเรื่องหนึ่ง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าช่องไหน ถ้าถามว่าไปปรึกษาเฟย์ (พรปวีณ์ นีระสิงห์) มั้ย เอาจริงๆ แค่เล่าใฟ้ฟังเฉยๆ เพราะผมกับเฟย์เรื่องงานก็ปรึกษาคุยกันบ้าง แต่อันนี้มันเป็นงานคนละส่วนกัน ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ เขาก็ตามเราแหละ เราก็ทำงานตรงนี้มานาน หลังจากที่จะตัดสินใจไม่ต่อสัญญาก็มีผู้ใหญ่มาคุยกันบ้างครับ (หัวเราะ) 15ปี เป็นความผูกพันก็มีใจหายแหละ คือผมโตมากับช่อง ได้โอกาสจากช่องเยอะมาก ทุกคนรู้จักผมวันนี้ก็มาจากช่อง แต่ละปีที่งานอะไรช่องมันก็เหมือนเราฝังไปในตัวแล้ว แต่ก็มีบอกผู้ใหญ่ที่ช่องถ้ามีอะไรที่ผมกลับไปช่วยได้ ผมก็ยินดีเสมอครับ”

จริงๆ จะว่าไป เรื่องต่อหรือไม่ต่อสัญญามันเป็น “สิทธิส่วนบุคคล” ของดาราศิลปินเนอะ เพราะปัจจุบันแพลตฟอร์มมันเยอะขึ้น โอกาสต่างๆ มันก็เปิดกว้างมาก และหลายคนก็พยายามมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง เพื่อให้สามารถทำผลงานดีๆ ออกมาได้ ถ้าไม่มองว่าคือ “โรคสมองไหล” ของวงการบันเทิง ก็มองให้เป็น “โอกาส” แล้วกัน เพราะเราจะได้เห็นละครของดารานักแสดงในรูปแบบอื่นๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกว่าดีเริ่ดเลยว่าไหมคะทุกคน!